รับชมอันบ็อกซ์แกะกล่อง ASUS Zenfone 3 ในฉบับวีดีโอกันไปแล้ว http://goo.gl/2QUctM วันนี้มารับชมกันต่อกันในรูปแบบของบทความภาพนิ่งครับ โดยในบทความนี้ผมได้เพิ่มการเปิดกล่องของตัวหูฟัง Marshall Major II ที่ถือว่าเป็นของแถมสุด Exclusive ของ Zenfone 3 ในโมเดล ZE552KL ให้ได้รับชมกันเป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่ในฉบับวีดีโอไม่ได้แกะกล่องให้ดูครับ
สเปคเบื้องต้นของ Zenfone 3 ZE552KL (Marshall Limited Edition)
● หน่วยประมวลผล Qualcomm MSM8953 Snapdragon 625 Octa-core 2.0 GHz
● หน่วยประมวลผลกราฟฟิค Adreno 506
● หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง 64GB และรองรับหน่วยความจำภายนอก MicroSD card ได้สูงสุด 256 GB
● แรม : 4GB
● จอแสดงผล : ชนิด Super IPS ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD 1080 x 1920 pixels (~401 ppi pixel density) กระจกโค้ง 2.5D หน้า-หลัง Corning Gorilla Glass 3
● การเชื่อมต่อ รองรับ 2G, 3G, 4G LTE Cat 4
● รองรับการใช้งานในระบบ 2 ซิมการ์ด แบบไฮบริด (Micro-SIM, – Normal SIN – dual stand-by)
● การเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ฟแ , Bluetooth V. 4.2
● กล้องหลักด้านหลังความละเอียด 16MP Camera, f/2.0 aperture, 6 P Largan lens Auto Focus 0.03 second laser auto-focus 32 second long exposure 4-axis, 4 stops Optical Image Stabilization for steady photos Dual-LED real tone flash PixelMaster Camera Modes
● กล้องด้านหน้าความละเอียด 8MP Camera , f/2.0 aperture PixelMaster Camera Modes
● High-Res Audio certification 24-bit/192kHz
● Android™ 6.0 ครอบทับด้วย ASUS ZenUI 3.0
● ขนาดตัวเครื่อง 152.6 x 77.4 x 7.7 มิลลิเมตร
● น้ำหนัก 155 กรัม
● แบตเตอรี่ 3,000 mAh
ราคาวางจำหน่าย 14,990 บาท
แถมฟรี หูฟัง Marshall major II สีดำ มูลค่า 4,190 บาท (ของแถมจำนวนจำกัด)
รายละเอียดเพิ่มเติม http://goo.gl/oYdkeQ
Packaging & Accessories
ตัวกล่องแพคเกจมีขนาดค่อนข้างใหญ่ เพราะว่าภายในนั้นบรรจุตัวหูฟัง Marshall major II มาให้ด้วย ตรงนี้ต้องบอกว่าเป็นการออกแบบตัวกล่องมาโดยเฉพาะ เพราะไม่ได้เป็นการซื้อเครื่องแล้วแถมหูฟังมาให้เฉย ๆ แต่เป็นการจับมือร่วมกันระหว่างค่าย ASUS กับ Marshall ในการทำโปรโมชั่น สุด Exclusive ของโมเดล ZE552KL นั่นเอง
ตัวฝาปิดกล่องเป็นแบบแม่เหล็ก งานออกแบบเน้นความเรียบง่ายโดยมาในโทนสีน้ำเงินเข้ม และแปะ Zenfone 3 ZE552KL Marshall Limited Edition ไว้ดานบนของตัวกล่อง เมื่อเปิดฝากล่องชั่นแรกออกมาจะเจอประโยคที่เป็นสโลแกนของ Asus ZenFone 3 Series ก็คือ “INCREDIBLE IS NOW” หรือประมาณว่าความ “มหรรศจรรย์เริ่มต้นขึ้นแล้ว”
แง้มกล่องด้านในออกมาก็จะพบเจอกับ ASUS Zenfone 3 และหูฟัง Marshall major II ที่จัดวางภายในกล่องได้อย่างลงตัว แต่ตัวหูฟังจะขโมยซีนสักเล็กน้อย เพราะด้วยขนาดที่อลังการกว่านั่นเอง (ฮ่า)
สำหรับตัว ASUS Zenfone 3 ที่ได้รับมารีวิวตัวเครื่องมาพร้อมกับสีน้ำเงิน ส่วนตัวหูฟัง Marshall major II จะเป็นสีดำครับ
อุปกรณ์ภายในกล่องของ ASUS Zenfone 3 จะประกอบไปด้วย
1. คู่มือการใช้งานอย่างย่อ + เข็มจิ้มเปิดถาดซิม โดยตัวเข็มออกแบบได้น่ารักและมีขนาดกะทัดรัดอีกด้วย
2. อแดปเตอร์ชาร์จไฟขนิดขากลม ให้ OUT PUT มาที่ 2A
3. สาย USB Type-C ซิงค์และชาร์จไฟ ที่ถือว่าเป็นรุ่นแรกของทางค่าย ASUS ที่เปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB ชนิด Type-C ครับ
4. ชุดหูฟังสมอลทอร์คแบบอินเอียร์ และมีจุกยางสำรองอีก 2 ขนาดมาให้ใช้งาน
Design & Hardweare
ดีไซน์ของ Zenfone 3 ZE552KL มีความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับคระกูล Zenfone ที่ผ่านมา โดยเปลี่ยนจากการเล่นระดับ curve ของตัวฝาหลัง และย้ายปุ่มปรับระดับเสียงที่เคยอยู่ด้านหลังให้กลับมาอยู่ด้านข้างเหมือนสมาร์ทโฟนทั่ว ๆ ไป ในภาพรวมยังเน้นความโค้งมนเช่นเดิมครับ เพียงแต่จะมีความหนักแน่น และดูหราหราพรีเมี่ยมมากยิ่งขึ้น ถือว่าเป็นการฉีกแนวงานดีไซน์เดิม ๆ ออกมาเป็นแนวทางใหม่ของทางค่ายเลยก็ว่าได้ครับ
สำหรับวัสดุและงานประกอบก็ดีขึ้นมาก โดย Zenfone 3 ZE552KL เลือกใช้กระจกโค้ง 2.5D ทั้งด้านหน้าและหลัง ส่วนตัวขอบเฟรมหรือว่าวัสดุหลักของตัวเครื่องเลือกใช้วัสดุอลูมิเนียมเกรดพรีเมี่ยม แบบที่ใช้ในอุตสาหกรรมอากาศยาน ซึ่งมีความโดดเด่นทั้งเเรื่องความแข็งแรงและมีน้ำหนักเบา
สุดท้าย Handle การจับถือพกพากันต่อครับ ถึงแม้จะมาพร้อมกับจอแสดงผลขนาด 5.5 นิ้ว แต่ด้วยความที่ขอบจอนั้นแคบเพียง 2.1 มม. จึงส่งผลให้ตัวเครื่องมีขนาดที่ไม่ใหญ่จนเกินไปนัก แต่ถ้าหากให้พูดถึงความกระชับและการจับถือได้อย่างมั่นใจ งานออกแบบที่เน้นความโค้งเข้ากับสรีระของฝ่ามือจาก Zenfone ในรุ่นที่ผ่าน ๆ มา จะทำได้ดีกว่าครับ
Zenfone 3 ZE552KL เลือกใช้จอแสดงผลชนิด Super IPS ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD ความละเอียด 1080 x 1920 pixels (~401 ppi pixel density) กระจกโค้ง 2.5D (Corning Gorilla Glass 3) เรื่องมุมมอง ความคมชัดและ respon การตอบสนองของจอนั้นดีมากครับ และอีกหนึ่งจุดเด่นของจอแสดงผลคือมาพร้อมกับความสว่างถึง 600 nits ซึ่งส่งผลให้จอนั้นสามารถสู้แสงแดดและนำไปใช้งานกลางแจ้งได้อย่างสบาย ๆ
การจัดวางเลย์เอาท์ของ Hardware ด้านหน้า
ด้านบนฝั่งซ้ายมือจะเป็นที่อยู่ของไฟแจ้งเตือน LED Notification, ช่องลำโพงสนทนา, ชุดเซ็นเซอร์ Accelerometer, Proximity Sensor และสุดท้ายคือกล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มีค่ารู้รับแสงอยู่ที่ f/2.0
ส่วนด้านล่างสามปุ่มนำทางจะเป็นแบบ Capacitive button แต่ไม่มีไฟแบลค์ไลค์มาให้ใช้งานนะครับ
ด้านบนของตัวเครื่องจะมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และไมค์ตัดเสียนงรบกวน และตัดขอบข้างทั้งสองด้านด้วยเส้นเสาอากาศ
สำหรับด้านล่างจะประกอบไปด้วย ไมค์สนทนา, พอร์ต USB Type-C และช่องลำโพงมีเดีย หรือลำโพงหลักของตัวเครื่องนั่นเอง และมีการตัดขอบด้วยเส้นเสาอากาศเหมือนด้านบนครับ
ขอพูดถึงคุณภาพลำโพงสักนิด สำหรับลำโพงหลักของ Zenfone 3 มาพร้อมกับลำโพงคุณภาพสูงที่เลือกใช้แม่เหล็กถึง 5 ชั้น
เรื่องความดังอยู่ในเกณฑ์ปานกลางครับ ไม่ได้ดังกระหึ่มอะไรมากมาย แต่จะได้ในเรื่องของคุณภาพมาทดแทน และเมื่อลองเร่งเสียงจนสุดก็ไม่ได้มีอาการแตกพร้าให้ได้ยินแต่อย่างใดครับ
ปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่ม Power จะจัดวางตำแหน่งไว้ที่ด้านขวามือของตัวเครื่อง โดยตัวปุ่มทั้ง 2 จะมีลวดลาย Texture อยู่บนปุ่มตัวปุ่ม ซึ่งดูแล้วสวยงามหรูหราไม่เบา และความแข็งแรงแน่นหนาของปุ่มกดนั้นดีมากครับ ไม่มีอาการหลวมคลอนให้เห็นเลย
ทางฝั่งซ้ายมือของตัวเครื่องจะเป็นที่อยู่ของช่องถาดซิม+ MicroSD Card โดยตัวถาดนั้นจะเป็นแบบไฮบริดตามสมัยนิยม คือต้องเลือกระหว่างการใช้งาน 2 ซิมการ์ด หรือใช้ 1 ซิม + MicroSD Card สำหรับชนิดซิม ถาดซิม 1 จะเป็นแบบบ Micro SIM และถาดซิม 2 จะเป็นแบบ Nano SIM ครับ ส่วนตัว MicroSD Card จะรองรับความจุได้สูงสุดที่ 256GB
ด้านหลังเป็นกระจกโค้ง 2.5D แบบเดียวกันกับด้านหน้าเลยครับ ซึ่งเก็บรอยนิ้วมือได้ดีมาก คงต้องหาเคสมาใส่โดยไว เพราะนอกจากจะช่วยในเรื่องความสะอาดแล้ว การป้องกันก็ถือว่าสำคัญ เพราะตัววัสดุที่เป็นกระจกถ้าทำ Drop Test แบบไม่ตั้งใจก็พร้อมงานเข้าในทันที ตรงนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญเลยนะครับ
ดูกันต่อที่ด้านหลัง ตัวเลนส์กล้องจะยื่นนูนออกมาเล็กน้อย โดยมีขอบเส้นโลหะล้อมคาดตัวเลนส์เอาไว้ และถึงแม้กระจกเลนส์จะยื่นออกมาแต่ยังมีข้อดึคือตัวกระจกนั้นผลิตมาจากSapphire จึงช่วยปกป้องริ้วรอยจากการใช้งานได้ค่อนข้างดีมาก ฝั่งขวามือของเลนส์ก็คือเลเซอร์ที่ช่วยในการโฟกัส ส่วนแฟลชจะเป็นแบบ Dual-LED real tone สเปคทางฝั่ง Hardware ถือว่าอัพเกรดและจัดเต็มมาก ๆ โดยมาพร้อมกับความน่าสนใจดังนี้
กล้องดิจิตอลด้านหลัง มาพร้อมความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง f/2.0, Dual-LED real tone flash, เซ็นเซอร์ใหม่ล่าสุด Sony Exmor RS IMX829, พร้อมฟีเจอร์อัดแน่น เช่นกันสั่น 4 แกน และ EIS สำหรับการถ่ายวีดีโอ, เลเซอร์โฟกัส, ระบบโฟกัสอัตโนมัติ ASUS TriTech, และ phase detection พร้อมขับเคลื่อนด้วยซอฟท์แวร์ ASUS PixelMaster 3.0
สำหรับคุณภาพจริงจะเป็นอย่างไร รอติดตามรับชมกันได้ในเร็วๆ นี้ครับ
ลองประกบกับ Samsung Galaxy S7 edge สักหน่อย
ในส่วนของการแกะกล่องสำรวจ Hardware ภายนอกของ Zenfone 3 ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ครับ
คราวนี้มาถึงคิวแกะกล่องตัวหูฟัง Marshall Major II กันต่อเลยครับ
รูปร่างหน้าตาของตัวกล่องแพคเกจก็จะประมาณนี้ โดยรุ่นนี้มี 3 สีให้เลือกใช้งานนะครับ คือสีดำ สีขาวและสีน้ำตาล
ด้านข้างกล่องพิมพ์บอกสเปคชัดเจน ไม่ต้องไปค้นหากันที่ไหน ดูตรงข้างกล่องได้เลยจร้า
ด้านหลังกล่องอธิบายการใช้งานปุ่มคอนโทรล การการใช้งานเบสิคเบื้องต้นของตัวหูฟัง
ด้านในจะมีกล่องอีกหนึ่งชั้น และเมื่อเปิดกล่องออกมาจะพบกับตัวหูฟัง Marshall Major II โดยการจัดวางและบรรจุภัณฑ์ของตัวหูฟังนั้นทำได้เรียบร้อยเป็นระเบียบดีมาก เรียกว่าใส่ใจทุกขั้นตอนกันเลยทีเดียว
อุปกรณ์ภายในกล่องที่ให้มาจะประกอบไปด้วย
1. หูฟังหลัก
2. สายสัญญาณ
3. คู่มือการใช้งานอย่างย่อ
ตัวสายสัญญาณมาพร้อมความยาว 1.2 เมตร สามารถยืดหยุ่นและป้องกันสายขาดในจากการกระชากแบบไม่ตั้งใจด้วยการออกแบบสายในรูปแบบสปริงขด
ตัวแจ็ค 3.5 จะเป็นแบบชุบทอง หรือ Gold Jack และผมขออธิบายแบบบ้าน ๆ แจ็คที่เป็นแบบแท่งตรงเอาไว้เสียบเข้ากับตัวหูฟัง ส่วนแจ็คแบบตัว L จะเสียบเข้ากับอุปกรณ์กำเนิดเสียง หรือพวกเครื่องเล่นเพลงต่างๆ นั่นเองครับ โดยตัว Detachable 3.5 mm Cord ตัว L จะมาพร้อมกับสปริงกันงอ กันสายขาดในอีกด้วยนะครับ
มีไมค์โครโฟนและปุ่มคอนโทรลมาให้ใช้งานทั้งทางด้านฟังเพลงและการโทร สรุปง่าย ๆ รุ่นนี้ทำหน้าที่เป็นหูฟังสมอลทอร์คได้ด้วย
ด้านหลังมีโลโก้ตัวนูนของแบรนด์ Marshall แปะเอาไว้
ตัวหูฟัง Marshall Major II จะเป็นแบบ Full Size ครอบหู ที่มาพร้อมกับดีไซน์ย้อนยุคนิด ๆ ไม่เน้นความหวือหวาอลังการ โดยส่วนตัวผมมองว่ามันสวยแบบเรียบ ๆ ดีครับ
Collapsible ปรับระดับได้อย่างยืดหยุ่นครับ ไม่ได้แค่เลื่อนขึ้น-ลงอย่างเดียวนะ แต่ยังสามารภพับเข้าด้านในเพื่อเก็บตัว ear cups เข้าไปในสายคาดได้อีกด้วย
ด้านนอกของ ear cups จะมีโลโก้ Marshall สีขาวสะดุดตา ส่วนด้านในที่เห็นเป็นลวดลาย Texture เหมือนหนัง แต่จริง ๆ แล้วมันคือพลาสติกครับ
ช่องเสียบสายสัญญาณ 3.5 มม. ที่ถือว่าเป็นจุดขายของ Marshall Major II เพราะเราสามารถเลือกเสียบจากด้านไหนก็ได้ ทั้งซ้ายหรือขวาตามที่เราถนัดในการใช้งานนั่นเอง
ตัว ear cups ด้านในเป็นฟองน้ำหุ้มด้วยหนังสีดำคุณภาพดี
ตัวก้านหูฟังด้านในมีการพิมพ์โลโก้แบรนด์และบอกตำแหน่งซ้ายขวาของตัวหูฟังด้วยสีทองโดดเด่นสะดุดตา
นี้คือความลงตัวที่ทางค่าย ASUS มอบให้กับผู้ใช้งานในแบบ “เอ็กซ์คลูซีฟ” ครับ เรื่องซุ้มเสียงผมคงไม่อาจบอกอะไรได้มากมายนัก ส่วนหนึ่งคือผมไม่ใช่โปรทางด้านเสียง อย่างที่สองคือตัวหูฟังจริงๆ แล้วต้องมีการเบิร์นสักระยะถึงจะแสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมา
แต่เอาคร่าว ๆ ผมขอบอกเล่าในภาพรวม ๆ ละกัน เริ่มจากตัวหูฟังกันก่อน คุณภาพโดยรวมของ Marshall Major II ทั้งวัสดุและงานประกอบนั้นดีมาก ๆ ครับ ในฝั่งของคุณภาพเสียงบอกตรง ๆ มันก็โอเคนะ จัดว่าเป็นหูฟังเสียงดีในราคาเอื้อมถึง คือมันอยู่ในเรทที่รับได้ ถ้าเป็นคนเล่นหูฟังจะเข้าใจในเรื่องคุณภาพต่อราคาของ Marshall Major II ได้เป็นอย่างดีครับ
คราวนี้มาถึงไฮไลท์กันบ้าง แล้วหูฟัง Full Size แบบนี้ ASUS Zenfone 3 จะขับไหวมั้ย? ตรงนี้บอกเลยว่าไม่มีปัญหาครับ เพราะตัว ASUS Zenfone 3 นั้นมาพร้อมกับ NXP Smart AMP ที่ช่วยในเรื่องกำลังขับ ถึงแม้จะไม่เท่ากับแอมป์ภายนอกก็ตาม หากไม่จับผิดหรือเป็นประเภทหูทองหูเทพจนเกินไป ผมเชื่อว่าเราจะได้รับอรรถรสจากหูฟังตัวนี้ผ่านทาง Zenfone 3 ได้อย่างไม่มีปัญหาเลยครับ
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวภาค Software ครับผม
ถูกใจบทความนี้ 5
You must be logged in to post a comment.