Apple เปิดตัว Apple Watch นาฬิกาอัจฉริยะ ที่สุดแห่งอลังการงานสร้าง

AppleWatch header

ในงาน Special Event – Sept 2014 ที่ทาง Apple จัดขึ้นเมื่อช่วงค่ำคืนที่ผ่านมาตามเวลาประเทศไทย ผมเชื่อได้เลยว่าเพื่อนๆสสมาชิกเกือบจะทั้งหมด ต้องคิดว่าการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง iPhone 6 และ iPhone 6 Plus นั้นเป็นพระเอกของงาน แต่ถ้าใครที่ได้อยู่ลุ้นและติดตามบรรยากาศสดๆภายในงานแล้ว จะรู้สึกได้ทันทีว่ากำลังคิดผิด เพราะระยะเวลาการจัดงานกว่า 2 ชั่วโมงนั้น ทาง Apple พูดถึง iPhone 6 และ iPhone 6 Plus เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่กว่าหนึ่งชั่วโมง Apple กลับพูดถึงแต่ Apple Watch หรือนาฬิกาอัจฉริยะตัวแรกของทาง Apple แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ผมเลยอยากจะขอชวนเพื่อนๆสมาชิกให้มาเจาะลึกไปพร้อมๆกันนะครับ

AppleWatch 1 - Copy

ตามที่ได้เกริ่นไปแล้วข้างต้น เวลาของงานอีเวนท์ส่วนใหญ่ Apple เลือกที่จะยกให้กับ Apple Watch หรือแท้จริงแล้วนี่คือไฮไลท์ คือพระเอกของงานในครั้งนี้จริงๆ ถ้าเพื่อนๆสมาชิกจำกันได้ จะเห็นว่าข่าวลือ ข่าวหลุดต่างๆมากมายเกี่ยวกับ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus นั้นมีออกมาอย่างมากมาย จนเรียกได้ว่าหลุดจนแทบไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้น แต่ในขณะที่ Apple Watch นั้น กลับถูกปิดข่าวเป็นอย่างดี แทบจะไม่มีข่าวลือ ข่าวหลุดออกมาก่อนหน้านี้เลยก็ว่าได้ หลายๆอย่างประกอบกันเข้าก็ชวนให้คิดว่าแท้ที่จริงแล้ว Apple Watch นี่แหละคือพระเอกตัวจริงของงานเปิดตัวในครั้งนี้

สำหรับ Apple Watch หรือที่ตอนแรกคนทั่วโลกเรียกตามๆกันว่า iWatch นั้น คือนาฬิกาอัจฉริยะหรือสมาร์ทว๊อชตัวแรกของทาง Apple ซึ่งจะว่าไปแล้วหลายฝ่ายก็คาดเดากันว่ามันคงถึงเวลาแล้วที่ Apple ต้องกระโดดลงมาร่วมวงในตลาดอุปกรณ์ไอทีสำหรับสวมใส่ หรือ wearable device เพราะถ้าช้าหรือปล่อยให้เนิ่นนานไปกว่านี้ คงเป็นการยากที่จะมีพื้นที่ยืนในส่วนแบ่งการตลาดที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านในปัจจุบัน

AppleWatch 2 - Copy

ถ้าพูดถึงเครื่อง Macintosh การสั่งการเพื่อนๆสมาชิกก็คงต้องนึกถึงการใช้ Apple Mouse หรือถ้าพูดถึง iPod เพื่อนๆสมาชิกก็คงต้องนึกถึง Click Wheel หรือถ้าพูดถึง iPhone เพื่อนๆสมาชิกก็คงต้องนึกถึง Multi-Touch แล้วถ้าพูดถึง Apple Watch เพื่อนๆสมาชิกควรจะนึกถึงอะไร คำตอบก็คือ Digital Crown หรือเม็ดมะยมแห่งอนาคต (ผมขอเรียกแบบนี้ละกัน)

AppleWatch 3 - Copy

จะว่าไปแล้ว Digital Crown เป็นเหมือนทุกอย่างของ Apple Watch ก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะทำอะไร เลื่อนขึ้นลง ซ้ายขวา ซูมเข้าออก กลับมายังหน้า home หรือแม้แต่การเรียกใช้งาน Siri ทุกอย่าง Digital Crown เอาอยู่ทั้งหมด ส่วนหน้าจอของ Apple Watch นั้น เป็นหน้าจอ Retina แบบยืดหยุ่นได้ตามแรงกด และเคลือบด้วยกระจกแซฟไฟร์ ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความคงทนและแข็งแรงมากๆ โดยในส่วนของหน้าจอนั้นผู้ใช้งานสามารถปรับแต่ตามไลฟ์สไตล์ ตามการใช้งานของตัวเองได้มากมายหลากหลายรูปแบบเกริ่นมาขนาดนี้แล้ว มาดูรายละเอียดสเปคทั้งหมดของ Apple Watch กันเลยดีกว่าครับ

AppleWatch 4 - Copy

  • ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS เป็นพื้นฐานและทำการปรับปรุงออกแบบ UI ใหม่ทั้งหมด
  • มีเซนเซอร์ gyroscope , accelerometer , วัดชีพจร และ Taptic Engine
  • มีลำโพงภายในตัว
  • รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11b/g และ Bluetooth เวอร์ชัน 4.0
  • Apple Watch ต้องเชื่อมต่อร่วมกับกับ iPhone (รองรับตั้งแต่ iPhone 5 ขึ้นไป) ไม่สามารถ stand alone ได้   

อีกหนึ่งเรื่องมี่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ นั่นก็คือการชาร์จแบตเตอรีให้กับ Apple Watch นั้น จะใช้สายแม่เหล็ก MagSafe ติดแปะเข้าไปที่ด้านล่างของตัวเรือน ดูแปลกตาไปอีกแบบก็ว่าได้ (แต่ไม่ได้เปิดเผยถึงขนาดความจุแบตเตอรีนะครับ)

AppleWatch 5 - Copy

AppleWatch 6 - Copy

มาเจาะลึกกันต่อในส่วนของซอฟต์แวร์ โดย Apple Watch มาพร้อมแอพฯพื้นฐานที่เหล่าสาวก Apple รู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น Siri , Maps และ Photos โดยส่วนที่เหมือนจะเป็นแอพฯที่เป็นไฮไลท์สำคัญคงหนีไม่พ้นแอพฯ Fitness and Workout ที่ทำหน้าที่เป็นเทรนเนอร์ส่วนตัว คอยบันทึกและติดตามการเคลื่อนไหว การออกกำลัง จำนวนแคลอรีที่เผาผลาญ โดยผู้ใช้งานสามารถกำหนดเป้าหมาย และตั้งค่าให้ Apple Watch คอยแจ้งเตือนได้อีกด้วย ซึ่งการทำงานทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นได้รับการพัฒนาและออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านฟิตเนสโดยเฉพาะ

AppleWatch 7 - Copy

นอกจากนี้ Apple ยังเปิดให้แอพฯจากบรรดานักพัฒนาสามารถทำงานร่วมกับ Apple Watch ได้ ผ่านแพลตฟอร์ม WatchKit ซึ่งจะเน้นหนักไปที่การแจ้งเตือนผ่านจากตัวเครื่อง iPhone มายัง Apple Watch หรือจะเป็นแอพฯโดยเฉพาะก็ได้เช่นกัน ซึ่งทาง Apple ได้ยกตัวอย่างแอพฯดังกล่าว เช่น Facebook , Twitter , Pinterest , Nike ตลอดจนแอพฯ Passbook หรือจะเป็นในส่วนของรีโมทสำหรับควบคุม Apple TV และยังสามารถใช้งานร่วมกับ Apple Payได้ด้วย

AppleWatch 8

ความสนุกและน่าตื่นเต้นยังไม่หมดแค่นั้น เมื่อผู้ใช้งาน Apple Watch สามารถใช้งาน Apple Watch เป็นอุปกรณ์สำหรับติดต่อสื่อสารกันในกลุ่มเพื่อนๆ สามารถขีดเขียนวาดภาพสเกตช์จากบนหน้าจอส่งหากันได้ หรือส่งข้อความเสียงหากันแบบ Walkie – talkie หรือจะส่งอัตราการเต้นของหัวใจไปให้กันก็ได้อีกด้วย (เวลาจีบกันคงน่ารักดี 555+) สำหรับการใช้งานฟีเจอร์ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะสามารถทำได้ง่ายๆเพียงกดปุ่ม Digital Touch (ปุ่มที่อยู่ด้านข้างของ Digital Crown)

และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผมรู้สึกว่า Apple Watch คือไฮไลท์ที่แท้จริงของงานอีเวนท์ในครั้งนี้ เพราะ Apple ออกแบบมาด้วยกัน 3 คอลเลคชัน มีคอลเลคชันละ 2 ขนาดหน้าจอคือ 38 mm. และ 42 mm. โดย 3 คอลเลคชันนั้นประกอบด้วย

  • Apple Watch กรอบสแตนเลสแบบมาตรฐานทั่วไป
  • Apple Watch Sport กรอบอลูมิเนียมที่เน้นความทนทาน สมบุกสมบันในการใช้งาน
  • Apple Watch Edition ขอบทอง 18k ที่เน้นความหรูหรา ไฮโซ

AppleWatch 9

AppleWatch 10

AppleWatch 11

โดยในแต่ละคอลเลคชันจะมาพร้อมสายนาฬิกาที่ได้รับการดีไซน์มาเป็นอย่างดี โดยมีให้เลือกมากมายหลากหลายรูปแบบ และยังมีดีไซน์บนหน้าปัดของตัวเรือนให้เลือกปรับแต่งได้ตามสไตล์ และติดตั้งมาให้แบบพรีโหลดด้วยกันถึง 11 รูปแบบอีกต่างหาก

AppleWatch 12

เพื่อนๆสมาชิกคงเริ่มอยากได้กันแล้วใช่ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นมาดูเรื่องของราคากันเลยดีกว่า โดย Apple Watch จะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงต้นปี 2015 และเปิดราคาเริ่มต้นที่ $349 หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 11,xxx บาท เพื่อนๆสมาชิกที่สนใจก็เตรียมหยอดกระปุกรอกันไว้ได้เลยนะครับ



ถูกใจบทความนี้  0