วันนี้ผมมาแนะนำ หรือรีวิวเจ้า Samsung Galaxy S6 กันครับ หลังจากที่เห็นเจ้า Samsung Galaxy S6 edge กันไปแล้ว ผมขอเอาส่วนต่างที่ถูกกว่า 4,000 บาท มาให้ชมกันว่า น่าเลือกใช้มากกว่าหรือไม่ เพราะแน่นอนว่าทั้งสองรุ่นนี้วางขายกันสดๆ แล้ว หลังจากมี่มีกระแสมาให้เราน้ำหลายไหลกันสักพักใหญ่ หลายคนก็รอดูท่าที จะเลือกกันยังไงดีระหว่างสองรุ่นนี้ วันนี้ขอเข้าข้าง Samsung Galaxy S6 อย่างหมดใจเลยก็แล้วกันนะ
ขอบคุณ Thai Samsung Electronic ที่ให้ยืมเครื่องทดสอบ
ก่อนอื่นขอเอาสเปคมาโชว์ก่อนเลย
Samsung Galaxy S6 Specification
- 64-bit Exynos 7420 chipset ที่ผลิตบนสถาปัตยกรรมระดับ 14nm : octa-core CPU (quad 2.1GHz & quad 1.5GHz)
- 3GB of LPDDR4 RAM
- หน่วยความจำภายในเครื่องมี 3 ขนาดคือ 32/64/128GB ซึ่งเป็นแบบ UFS 2.0 flash memory; แถม Microsoft OneDrive storage ให้ 115GB เป็นเวลา 2 ปี
- หน้าจอขนาด 5.1″ QHD (2560 x 1440 pixels) Super AMOLED display (577ppi) ความสว่าง 600cd/mm
- กล้องหลังความละเอียด 16MP f/1.9 พร้อมระบบกันสั่น OIS (เซ็นเซอร์ Sony IMX240); Auto HDR; 4K video capture; IR white balance detection
- กล้องหน้าความละเอียด 5MP f/1.9
- การเชื่อมต่อต่างๆ Cat. 6 LTE; WiFi: 802.11 a/b/g/n/ac (2.4/5GHz); Bluetooth 4.1; NFC; IR Remote; USB 2.0
- NFC และ MST เพื่อรองรับการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต
- แบตเตอรี่ความจุ 2,550mAh สำหรับ Galaxy S6 และ 2,600mAh สำหรับ Galaxy S6 Edge
- รองรับ Qi (WPC) และ PMA wireless charging support
- Android 5.0.2 Lollipop พร้อมครอบ UI ด้วย TouchWiz UX
- Metal chassis; ใช้กระจก Corning Gorilla Glass 4 ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
- ราคา 23,900 บาท สำหรับรุ่นความจุ 32GB
ด้วยสเปคระหว่าง Galaxy S6 และ Galaxy S6 edge ไม่ต่างกันนะครับ ต่างกันตรงน้ำหนักเครื่อง และตรงส่วนของหน้าจอ และจุดของที่วางซิมนิดหน่อยเท่านั้น เอาไว้เราค่อยมาดูข้อแตกต่างกันอีกทีก็แล้วกัน วันนี้ส่วนของผมคือ มาแนะนำพระเอกอย่าง Samsung Galaxy S6 ซึ่งจากวันเปิดตัว ผมก็รู้แล้วว่า หากจะนำมาใช้งานจริงๆ ควรจะเลือก Galaxy S6 มากกว่า อาจจะด้วยเรื่องงบประมาณ และพอมารวมกับฟีเจอร์ต่างๆ ผมว่า Galaxy S6 ก็ไม่ได้ด้อยกว่าเลย แถมสเปคต่างๆ ยังเท่ากันอีก จบเลยกับราคา 23,900 บาท ความจุ 32GB เนี่ย
เรื่องรายละเอียดตัวเครื่อง
ด้วยความเป็น Samsung ทำให้หน้าจอที่แสดงผลถูกเลือกใช้เป็น SuperAMOLED ไม่เพียงเท่านั้น ยังใช้วัสดุอย่าง Gorilla Glass 4 อีกด้วย เพื่อความคงทนมากขึ้น และหน้าจอความละเอียดแบบ QHD ก็ยิ่งทำให้การแสดงผลแจ่มยิ่งขึ้นไปอีก เรื่องนี้ต้องยกให้เขาเลยครับ Galaxy S6
กล้องด้านหน้าขนาด 5 ล้าน อาจจะดูว่าจัดมาไม่เต็ม แต่ภาพที่ออกมารับรองว่าแจ่ม
ส่วนเรื่องของปุ่มกดต่างๆ ยังออกแบบมาเหมือนเดิม แต่สำหรับปุ่ม home ยังเป็น finger print อีกต่างหาก ซึ่งครั้งนี้การใช้งานถูกปรับให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น และด้วยขนาดหน้าจอ 5.1 นิ้ว ทำให้ตัวเครื่องจับกระชับมืออีกด้วย
ส่วนด้านหลัง ก็ไม่ได้มาแบบพลาสติกเหมือนเดิมอีกแล้ว เป็นกระจกเคลือบทำให้เกิดเงา สะท้อนได้ง่ายหน่อย แต่ทว่าก็มีส่วนของความทนทานและความสวยงามเพิ่มขึ้น โดยตัวเครื่องที่ได้มาทดสอบคือสีดำ แต่ทว่าหากสะท้อนกับแสงในบางมุม สีที่เราเห็นจะกลายเป็นสีกรมท่า หรือสีน้ำเงินเข้มนะครับ
ไม่ว่าจะมองมุมไหนๆ ก็สวยงาม สิ่งที่ซัมซุงเปลี่ยนก็คงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถถอดฝาหลังได้ ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนแบต หรือใส่เมมเพิ่มได้อีกต่อไป แต่ก็เพิ่มเรื่องการชาร์จเร็วเข้ามาแทนที่ แบตขนาด 2500 mAh ไม่เยอะ แต่น้อย แต่สเปคแรงๆ ก็ไม่พอเหมือนกันนะ การที่ใส่การชาร์จเร็วเข้ามา ทำให้การใช้งานคล่องตัวขึ้น
กล้องขนาด 16 ล้าน f1/9 ก็ต้องบอกว่าแจ่มมาก กับโหมดต่างๆ ของกล้องที่มีให้เล่นอีกเพียบ มีเซ็นเซอร์ที่ช่วยให้การถ่ายภาพตัวเองเป็นเรื่องง่ายขึ้น ไม่ต้องกดที่หน้าจอ หรือปุ่มกดอีกต่อไป
ตรงจุดของรายละเอียดด้านล่างนี่ บอกรายละเอียดอีมี่ และรุ่นเอาไว้ครบ
ด้านบน มี IR สำหรับใช้เป็นรีโมทคอนโทรลด้วยนะ ส่วนเรื่องการดีไซน์ อย่างที่รู้กันว่า Galaxy S6 เค้ามาพร้อมกับร่างกายเป็นโลหะหนักๆ เต็มๆ ได้ใจมาก
ส่วนด้านล่าง แอบดีไซน์ไปคล้ายกับเจ้าไอซะอย่างนั้น ซึ่งการวางตำแหน่งนี่เหมือนมาก ต่างกันเรื่องรายละเอียดนิดหน่อยเท่านั้น ซึ่งไม่ได้มีผลต่อการใช้งานแต่อย่างใด
ส่วนของด้านข้างที่มีเพียงที่ใส่ซิม และปุ่มปิดเปิดเครื่อง ส่วนดีไซน์ด้านข้าง จะเห็นว่าไม่ได้เรียบ แบน ราบ ไปตามขอบ แต่หากจะมีส่วนเว้าเข้าไปด้านในตัวเครื่อง ทำให้การจับถนัดมือมากขึ้น
การด้านก็เช่นเดียวกัน มีแค่ปุ่ม เร่ง ลด เสียงเพียงเท่านั้น
มาดูภาพแต่ละมุม สวยๆ กันมั่งครับ
ถ้าสังเกตดูดีๆ จากขอบต่างๆ จะเห็นว่าโลหะที่ Galaxy S6 ใช้นั้นมีความแข็งแรง คงทนอย่างแน่นอน และความที่เป็นโลหะทำให้นำความร้อนได้ดีทีเดียวเชียว และขอบตัดด้านบน หากเทียบกับบรรดารุ่นพี่ที่ออกมาก่อนหน้านี้ อย่างเช่น Galaxy Note 4 เราจะเห็นรอยได้ง่ายมาก เนื่องจากมีขนาดกว้าง แต่สำหรับ Galaxy S6 นั้น มีขอบตัดที่แคบ ดูสวยงามและแน่นอนไม่ใช่ไม่เป็นรอยนะครับ เป็นรอยแล้วสังเกตเห็นได้ยากขึ้นเยอะเลยล่ะ
เรื่องของแอพ
หน้าจอความละเอียดระดับ QHD อันนี้จริงๆ Samsung น่าจะใส่มาตั้งแต่ S5 แล้ว แต่ทว่าหลายๆ อย่างอาจจะไม่ลงตัว แต่พอมาประกอบร่างเป็น Galaxy S6 ทำให้ ลงตัวมากมาย คือ SuperAMOLED นี่คงไม่ต้องพูดถึง ให้สีสันสดใส จัดจ้าน เหนือสิ่งอื่นใด แต่ถ้ามาแค่ความละเอียด FullHD ก็เห็นทีจะไม่ใช่ Flagship นั่นเอง และความละเอียดระดับนี้ ทำให้ความรู้สึกในการใช้งานมันฟินมากมาย ส่วนเรื่อง UI นี่เค้ามากับ Android 5.0 พร้อม Touchwiz อันเป็นจุดอ่อนของ Galaxy ทุกรุ่นแต่ไหนแต่ไร แต่ยิ่งสเปคแรง ทำให้ปัญหาเรื่องหนืด อืด ช้า หน่วงหมดไป แต่จะมี error กันหรือเปล่า อันนี้ก็คงต้องฟังฟีดแบ็คจากผู้ใช้งานยาวๆ กันอีกที
แอพพื้นฐานที่ติดมาในเครื่องก็ครบถ้วนตามสไตล์ Samsung แต่ทว่า เค้าฉีกแนวออกมาจากเดิมๆ ที่เคยเน้น อัดแอพมาให้แบบว่ากินพื้นที่ภายในไปพอสมควร แต่ปัจจุบันนี่ แทบจะไม่ได้ใส่แอพอะไรมาให้เลย เรียกว่าเอาไปลงเพิ่มกันเอง รวมถึงแอพที่พิเศษๆ จาก Samsung ด้วย ซึ่งตรงจุดนี้ถือเป็นข้อดีของ Samsung ที่มีการปรับเปลี่ยน เพราะแอพแต่ละอย่างที่ให้มา ถ้าไม่ใช่ social ต่างๆ เช่น facebook, instagram ล่ะก็ เราคงไม่ได้ใช้งานกันทุกคนอยู่แล้ว และแอพที่ pre-install มาให้ ก็สามารถลบออกได้ด้วย แจ่ม
เรื่องของแอพ socail ที่มีให้เช่น facebook, Instagram, Line เท่าที่ได้ลองดูคือ มีแค่เพียงไอคอนของแอพเท่านั้น ยังไม่สามารถใช้งานได้ การใช้งานครั้งแรก คือต้องกดดาวโหลดก่อนเท่านั้น ซึ่งผมเข้าใจว่าคงเป็นแอพที่ยังไม่อัพเดท แต่ไม่ได้อนุญาตให้เข้าใช้งานได้ทันที แต่ต้องดาวโหลดตัวอัพเดทให้เสร็จเรียบร้อยก่อน
Android 5.0 Lollipop ผมว่าเป็นจุดนึงที่ทำให้ Galaxy S6 ลงตัว ด้วย UI ที่เปลี่ยนไป ด้วยสเปค ด้วยหลายๆ อย่าง Galaxy S6 จึงเป็นรุ่นที่ใครจับแล้วต้องถูกใจ
สิ่งที่ Samsung ไม่โปรโมต
สิ่งที่ Samsung เคยยกเป็นฟีเจอร์เด็ดสมัยสองสามปีก่อน ซึ่งตอนนี้มีกันทั่วบ้านทั่วเมือง ถึงแม้จะไม่โปรโมต แต่ก็มีให้ใช้งาน และมันใช้ประโยชน์ได้นะครับ เรื่อง motion เนี่ย สะดวกดี พวกรับสายทันทีโดยไม่ต้องกดรับที่หน้าจออันนี้ที่ชอบใช้ประจำ
Theme อันนี้ทาง Samsung ก็จัดให้ งานนี้มีเพียบ มีให้เลือกแค่ 3 อย่างก็จริง แต่ใน store มีให้โหลดอีกนะครับ เค้าเข้าใจอารมณ์คนใช้งานนะผมว่า
เรื่องของ Finger Print
อันนี้ที่ปรับปรุง ซึ่งจาก Galaxy S5 ที่เคยมีให้ใช้งานแล้วต้องรูด เคยมีคนบอกว่า ผมใช้ไม่เป็นนี่หว่า จริงๆ มองในเรื่องของความสะดวกในการใช้งาน หากจับมือเดียว ใครจะมานั่งรูดได้ล่ะ แต่คราวนี้บน Galaxy S6 ใช้วิธีการทาบแค่นั้น ซึ่งแน่นอนว่า ประสบการณ์การใช้งานต่างจาก Galaxy S5 โดยสิ้นเชิง ใช้มือเดียว ก็ใช้นิ้วโป้งทาบเพื่อเปิดใช้งานได้ทันที ไม่ต้องมานั่งจับเครื่องมือนึง และใช้อีกมือนึงรูด อันนี้ล่ะชอบมาก ถึงแม้บางทีอาจจะไปเหมือนกับคู่แข่งตัวเป้งของ Samsung ก็ตามที แต่ทว่า การใช้งานแบบนี้มันสะดวกจริงๆ นะ
หากเครื่องหายก็ตามเจอได้ด้วย Find My Mobile
สำหรับคนที่จะใช้งานอย่างจริงจัง แนะนำ Find My Mobile จงเปิดใช้งานเอาไว้ก่อนที่จะเกิดเรื่อง สั้นๆ แค่นี้ล่ะครับ ที่จะแนะนำ มันช่วยได้มากจริงๆ
เรื่องของกล้อง
คงไม่ต้องเอ่ยมาก เป็นอีกรุ่นที่ประทับใจเรื่องกล้อง และคุณภาพของภาพถ่ายมาก หลังจากที่เจอบน Galaxy Note4 และแน่นอนบน Galaxy S6 รุ่นนี้ คงหาใครเทียมยากแล้ว ณ ตอนนี้ มีโหมดต่างๆ ให้เลือกอยู่พอสมควร
แต่ถ้าไม่พอใจ ก็ดาวโหลดเพิ่มได้อีก 8 ฟีเจอร์ เช่น Dual Camera, Beauty face โหลดเพิ่มได้ฟรีๆ
และโหมดอื่นๆ เช่น HDR Auto งานนี้จับให้ทำงาน Auto ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าย้อนแสงไหมยังไง แล้วมานั่งเปิดเองแบบ manual สำหรับคนที่ชอบถ่ายแบบ auto อย่างผมนี่ฟินเลยทีเดียว แต่ทว่าหากไม่พอใจก็ยังมีโหมด Pro ให้เลือก แต่ทว่าโหมดนี้ ถึงแม้ว่าปรับได้หลายสิ่งหลายอย่าง แต่เรื่องความสะดวก อาจจะยังสู้รุ่นที่เน้นเรื่องฟังก์ชั่นกล้องอาทิเช่น Lumia series ไม่ได้ อันนั้นใช้มือเดียวถ่าย ง่ายกว่า
กล้องด้านหน้าก็จัด Selfie แบบหน้าขาว หน้าสวยมาให้เต็มสตรีม รับรอบว่าถ่ายมาหน้าเนียบมั่กๆ ด้วยค่า f1/9 ทำให้เก็บภาพได้กว้างมาก แทบจะไม่จำเป็นต้อง Wide selfie อีกต่อไป แต่หากจำนวนคนมากๆ ก็จัด Wide selfie กันไปนะ อีกโหมดนึงคือ Virtual shotอันนี้แอบเป็นลูกเล่นเก๋ๆ จะเอามาใช้งานกันจริงๆ จังๆ ก็อาจจะยากหน่อย
การถ่ายวีดีโอ จริงๆ สามารถถ่ายวีดีโอได้ความละเอียดสูงถึง UHD เลยทีเดียว แต่ที่เหมาะสมและใช้งานทั่วๆ ไปในปัจจุบันก็ FullHD ปกตินี่ล่ะ ถ้าสูงกว่านี้ บางฟังก์ชั่นไม่รองรับนะครับ เช่น video stabilization
เปรียบเทียบกับ iPhone 6
ลองเอามาเปรียบเทียบภายนอกกับ iPhone 6 กันหน่อยดีกว่านะครับ
ที่เด็ดกว่าเห็นจะเป็นเรื่อง IR ที่ยังไง iPhone 6 หรือ iPhone ไหนๆ ก็คงไม่ใส่มาให้
ตรงจุดนี้ที่บอกว่าเหมือนกัน จริงๆ ก็แค่คล้ายล่ะนะ ไม่เหมือนเสียทีเดียว เพียงแค่ตำแหน่งการวางพอร์ท ลำโพง และช่องเสียบหูฟัง ตรงกันแค่นั้น
หากเทียบกันโดยสเปคแล้ว iPhone 6 แพ้ยับเยิน
แต่ถ้าเทียบเรื่องการใช้งาน แต่ก่อน Samsung อาจจะลื่นไม่เท่า แต่สำหรับ Galaxy S6 นี่ไม่ใช่แน่นอน
เรื่องความสวยงาม หรือดีไซน์ ตอนนี้ก็ไม่หนีกันแล้วนะ เรื่องพลาสติกตัดไปได้เลย ความบางก็ ต่างกันนิดหน่อย อันนี้จริงๆ ต้องบอกว่าแล้วแต่ใครจะชอบเลย แต่ Samsung งานนี้เค้าปรับมาชนกันแบบเต็มๆ หมัดต่อหมัดแล้วล่ะ
โดยภาพรวมแล้ว การมาของ Samsung Galaxy S6 และ Galaxy S6 Edge ถือว่าเป็นการเปลี่ยนโฉมใหม่ ให้ความรู้สึกที่ดีกว่าเดิม อย่างแรง ทั้้งในเรื่องดีไซน์ต่างๆ รวมถึงการใช้งานซึ่งก็ได้อานิสงค์ส่วนหนึ่งจาก Android 5.0 Lollipop ด้วย และแน่นอนว่า Samsung Galaxy S6 เป็นตัวเลือกที่ดี เนื่องจากสเปคต่างๆ เหมือนกับ Galaxy S6 Edge แต่ราคาต่างกัน 4,000 บาท สำหรับผมแล้ว หากนำมาใช้งานทั่วๆ ไปตามสไตล์ผม และไม่ได้เอาไว้โชว์ เรื่องความล้ำหน้า นวัตกรรมหรือจีบสาว ส่วนตัวแล้ว หน้าจอโค้งสองด้าน ยังไม่จำเป็นสำหรับผม ณ ตอนนี้ ซึ่งเชื่อแน่นอนว่าเราจะเจอการใช้งานที่คุ้มค่ามากกว่านี้บน Galaxy Note Edge รุ่นถัดไป ก็คงต้องมาติดตามกัน แต่ Galaxy S6 สอบผ่านแน่นอน แต่ถ้าเทียบกับ iPhone 6 แล้วล่ะก็ อันนี้ก็แล้วแต่ชอบล่ะครับ ดีไซน์กับวัสดุต่างๆ ผมว่า Samsung ทำได้ดีแล้วล่ะครับ อาจจะดีกว่าเสียด้วยซ้ำ สเปคนี่กินขาด การใช้งานโดยรวมก็ไม่หนีกัน เหลืออยู่ที่ราคากับความถนัดในเรื่องของ OS และเรื่องแบรนด์เสียมากกว่า อันนี้ก็ว่ากันไปนะ
จุดสังเกต คือเรื่องความร้อน เท่าที่ลองทดสอบใช้งาน จริงๆ ใช้งานทั่วๆ ไป วันนึงก็สบายๆ แต่หากเริ่มมีเรื่องมัลติมีเดียหนักๆ ก็เอาการอยู่ เล่นเกมส์ นี่ก็พออุ่นๆ จริงๆ ก็ร้อนนั่นล่ะ แต่ยังพอรับได้ แต่หากใช้งานกล้องเป็นเวลานานๆ ความร้อนจะขึ้นสูงมาก จนกระทั่งแทบจะจับตัวเครื่องไม่ได้กันเลยทีเดียว เนื่องจากตัวเครื่องเป็นโลหะ แต่หลังจากเลิกใช้งาน อุณหภูมิก็ลดลงเร็วเหมือนกัน มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งตัวความร้อนนี่มีผลต่อการใช้งานในระยะยาว ส่งผลโดยตรงกับแบตที่เมื่อเจอความร้อนนานๆ มักจะเสื่อมคุณภาพเร็ว ซึ่งอันนี้ก็คงต้องติดตามจากผู้ใช้งานจริงๆ กันอีกทีล่ะครับ วันนี้ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ จริงๆ มีเรื่องกล้อง และภาพถ่าย เดี๋ยวตอนหน้าเอามาฝากกันอีกทีก็แล้วกัน วันนี้ต้องลาไปก่อนละครับ
You must be logged in to post a comment.