Hands On ลองจับ ลองสัมผัส Samsung Gear S2 , Huawei G7 Plus และ pebble time steel

   ก่อนเริ่มงาน TME มีหลายแบรนด์ที่เพิ่งจะเปิดตัวโปรดักส์ภายในค่ายกันไปแบบสด ๆ ร้อน เช่น Sony Xperia Z5, ZTE AXON, Alcatel Flash 2 ซึ่งที่กล่าวมา ผมเคยทำพรีวิว แฮนด์ออน ไปทั้งหมดแล้ว วันงานจึงขอไปจับเฉพาะบางรุ่นที่ยังไม่เคยพรีวิวมาให้ชมกันครับ

สเปคย่อ ๆ ของ Huawei G7 Plus

ชิปเซ็ต  Qualcomm® MSM8939™, 1.5GHz+1.2GHz 8-core processor
หน้าจอ 5.5 นิ้ว IPS ความละเอียด Full HD
แรม 3GB
รอม 32GB รองรับหน่วยความจำเสริม (microSD 128GB)
กล้องหลัง ความละเอียด 13 เมกะพิกเซล Auto Focus + Dual-tone Flash
กล้องหน้า  ความละเอียด 5 เมกะพิกเซล
รองรับ 4G LTE
ระบบสแกนลายนิ้วมือ
มาพร้อมกับ Android 5.1+EMUI 3.1
แบตเตอรี่  3000mAh


ดี ไซน์ของ Huawei G7 Plus ยังให้อารมณ์คล้าย ๆ กับ G7 ตัวเดิมอยู่บ้าง แต่ในภาพรวม ในเรื่องของงานออกแบบดูลงตัวสวยงามขึ้นครับ สำหรับวัสดุของโครงสร้างหลักจะเป็นโลหะ ที่ใช้เกรดเดียวกับอุตสหกรรมอากาศยาน ซึ่งจะได้ทั้งเรื่องของน้ำหนักที่เบา แต่ยังคงความแข็งแกร่งไว้ได้เป็นอย่างดี


ด้าน หน้าส่วนบน จะประกอบไปด้วย กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล, ชุดเซ็นเซอร์, ลำโพงสนทนา สุดท้าย ไฟแจ้งเตือน LED Notification จะอยู่ที่มุมขวามือสุด


ปุ่มเนวิเกเตอร์จะเป็นแบบ On Screen พื้นที่ด้านล่างจึงแปะโลโก้ของแบรนด์ไว้แทน


ด้าน บนของตัวเครื่อง ช่องเสียบหูฟัง 3.5มม. และ ไมค์ตัดเสียงรบกวน สำหรับดเส้นสีขาวที่ตัดด้านข้าง จะเป็นเสาสัญญาณครับ ซึ่งจะมีทั้งด้านบน-ล่าง ตรงนี้จะเหมือนกับ P8 คือเป็นเสาสัญญาณคู่นั่นเอง

และการตัดขอบด้านข้างก็สไตล์เดียวกับ P8 ซีรีย์อีกเช่นกันครับ ดูแวววาวหรูหรา ให้อารมณ์พรีเมี่ยมได้เป็นอย่างดีเลยครับ

ด้าน ล่าง มีพอร์ตไมโครยูเอสบีอยู่ตรงกลาง และลำโพงที่ออกแบบมาในสไตล์ P8 ซีรีย์ คือ ฝั่งหนึ่งเป็นช่องไมค์สนทนา อีกช่องหนึ่งจะเป็นลำโพงหลัก


ด้านขวามือ ปุ่ม เพิ่ม-ลด ระดับเสียง และถัดลงมาคือปุ่ม Power


ด้านซ้ายมือ จะมีเพียงช่องถามซิมการ์ดและไมโครเอสดีการ์ด


ด้านหลัง มาพร้อมกับกล้องหลักความละเอียด 13 ล้านพิกเซล แฟลชคูทูโทน สำหรับกระจกเลนส์จะผลิตจาก Sapphire ที่มีความแข็งแกร่งรองมาจากเพชร


ด้านล่าง มีโลโกแบรนด์ และการออกแบบที่มีการใส่ลาย Texture ลงไป ทำให้ดูสวยงามลงตัวใช้ได้เลย

 

ต่อกกันที่ Samsung Gear S2


มีด้วยกัน 2 รุ่นที่ คือ Classic  และ  Sport

ความแตกต่างของทั้ง 2 รุ่นอยู่ที่ ดีไซน์โครงสร้างตัวเรือน และสายนาฬิกา

โดยรุ่น Classic  จะมาพร้อมสายหนัง สามารถเปลี่ยนสายนาฬิกาทั่ว ๆ ไปได้ตามปรกติ ไม่แตกต่างจากนาฬิกาข้อมือทั่ว ๆ ไป

ส่วนรุ่น  Sport จะใช้สายที่เป็นวัสดุ Silicone และไม่สามารถเปลี่ยนเองได้ (แต่ให้ทางศูนย์เปลี่ยนให้ได้ครับ)
สเปคแบบย่อ ๆ

ขนาดหน้าจอ 1.2 นิ้ว ความละเอียด 360×360 พิกเซล sAMOLED
ชิปเซ็ต Exynos 3250
RAM: 512 MB
ที่เก็บข้อมูล: 4 GB
การเชื่อมต่อ BT 4.1, Wi-Fi, NFC
เช็นเซอร์ Acc, Gyro, HRM, วัดความกดอากาศ,
แสงรอบข้าง, GPS (3G เท่านั้น)
กันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP68
แบตเตอรี่ 250 mAh
น้ำหนัก 47 กรัม
ระบบปฏิบัติการ Tizen


ในรุ่น Sport  จะมีโครงสร้างและสายที่แตกต่างจากรุ่น Classic  อยู่บ้าง และแน่นอนว่ามีราคาถูกกว่ากันอีกด้วย


เซ็นเซอร์ต่าง ๆ ที่ให้มาก็ถือว่าค่อนข้างครบถ้วนนะครับ


สายหนังจะมาพร้อมกับรุ่น Classic  และเปลี่ยนสายทั่ว ๆ ไปที่มีขายตามท้องตลาดได้ในภายหลังครับ


ด้านข้างจะมีปุ่มคอนโทรลอยู่ 2 ปุ่ม


สำหรับราคาในรุ่น Classic   จะอยู่ที่ 11,900 บาท

ส่วนรุ่น Sport จะวางจำหน่ายในราคา 9,900 บาท
ถ้าจองในงานจะได้รับส่วนลดไปรุ่นละ 1,000 ครับ


หน้าตาของตัวแท่นชาร์จ


เป็นระบบแม่เหล็กครับ เวลาชาร์จก็นำมาแปะตามรูป


สำหรับรุ่น Sport จะมี 2 แบบ ตัวเรือนสีบรอนซ์ สายสีขาว และตัวเรือนสีดำ สายสีดำ


ลองประกบกับ Pebble

 

ปิดท้ายกันไปที่โซน Gadget Zone


มี pebble time steel มาโชว์ในงานนี้ด้วย

มีไมค์เพื่อรองรับคำสั่งเสียง แต่ไม่สามารถใช้ในการโทรได้นะครับ


จอแสดงผลเป็นสีแล้ว  แต่สีไม่แจ่มนะ อออกจะจืด ๆ ตามโครงสร้างของตัว Hardware ที่เน้นการประหยัดพลังงาสน


ปุ่ม Power ที่มีลวดลาย Texture


เป็น รุ่น kickstarter สำหรับผุ้ที่ร่วมระดมทุนในตอนเปิดโครงการ ส่วนรุ่นที่ขายปรกติจะไม่มีคำว่า kickstarter ที่ด้านหลังของตัวเครื่องนะครับ

ลองเทียบกับ steel  ตัวเก่า ก็ประมาณนี้ครับ

 

สำหรับ Hands on ในงานรอบนี้ ประทับใจ Samsung Gear S2  มากที่สุด ถ้ามีโอกาสได้ไปเดินในฃงาน ก็สามารถไปลองจับ ลองสัมผัสกันได้ที่บูธของแต่ละแบรนด์เลยนะครับ

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ

 สามารถพูดคุยเกี่ยวกับบทความนี้ได้ที่หน้าเว็บบอร์ดเดิมครับ pdamobiz.com



ถูกใจบทความนี้  1