Samsung Galaxy S6 edge+ ฉีกวัฒนธรรมของตระกูล S จากที่จะไม่เน้นความใหญ่โตของขนาดหน้าจอ เพื่อไม่ให้ไปทับไลน์ของตระกูล Note แต่เดาใจแล้วว่าทางซัมซุงเองก็คงอยากให้มีเรือธงสักตัวที่มาพร้อมกับหน้าจอ ที่ใหญ่ขึ้นกว่าตระกูล S ที่ผ่าน ๆ มา และ S6 edge+ ก็คือภาคต่อของความพรีเมี่ยมจาก Edge ตัวแรก ด้วยวัสสุ ดีไซน์งานประกอบ แทบจะถอดแบบกันออกมา แต่ก็อย่างที่เกริ่นในตอนต้นคือ S6 edge+ ถูกขยายหน้าจอให้ใหญ่ขึ้น เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ชื่นชอบเรือธง แต่อาจจะไม่ได้มีไลฟ์สไตล์ที่ต้องการใช้งานตระกูล Note ครับ
ขอขอบคุณ Samsung thailand สำหรับเครื่องทดสอบและใช้ในการเขียนบทความนี้ครับ
สเปคเบื้องต้นแบบย่อ ๆ ของ Samsung Galaxy S6 edge+
~ OS : เปิดตัวมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 5.1 (Lollipop) ครอบทับด้วย TouchWiz UI
~ ชิปเซ็ต : CPU Exynos 7420 (Quad-core) 1.5 GHz Cortex-A53 & Quad-core 2.1 GHz Cortex-A57
~ หน่วยประมวลผลกราฟฟิก : GPU Mali-T760MP8
~ ROM 32/64 GB ไม่รองรับหน่วยความจำภายนอก
~ RAM 4GB
~ จอแสดงผลชนิด Super AMOLED ขนาด 5.7 นิ้ว ความละเอียด QHD 1440 x 2560 pixels (~518 ppi pixel density) Corning Gorilla Glass 4, Curved edge screen
~ การเชื่อมต่อ 2G, 3G ทุกคลื่นความถี่ในไทย + 4G LTE: รองรับการใช้งานในระบบ 1 ซิมการ์ด (Nano Sim)
~ การเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac , Bluetooth v4.2, A2DP, LE, apt-X , A-GPS, GLONASS, Beidou
~ กล้องหลักด้านหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช LED 1 ดวง ระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS, ค่ารูรับแสง f/1.9 รองรับการบันทึกวีดีโอ 4K
~ กล้องด้านหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล
~ ขนาดตัวเครื่อง 154.4 x 75.8 x 6.9 มิลลิเมตร
~ น้ำหนัก 153 กรัม
~ แบตเตอรี่ Li-polymer ความจุ 3000mAh
ราคาวางจำหน่าย 26,900 บาท
สเปคโดยละเอียดสามารถดูได้จาก official page Samsung Galaxy S6 edge+ specification
Samsung Galaxy S6 edge+ ที่ผมได้รับมา เป็นตัวพรีโปรดักส์ชั่น คือได้รับมาลองเล่นลองใช้งานก่อนวันจำหน่ายจริง ฉนั้นจึงมีบางส่วนที่อาจจะแตกต่างจากชุดวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในบ้านเรา สักเล็กน้อยครับ
ตัวแพ็กเกจมาในสีขาวมุก และมีขนาดเล็กกะทัดรัดตามสมัยนิยม
ด้านหลังค่อนข้างโล่ง พิมพ์บอกสเปคโดยสังเขปเท่านั้น
แง้มกล่องออกมาดูกันว่าให้อะไรมาบ้าง
คู่มือการใช้งานและเข็มจิ้มถาดซิม
1. อแดปเตอร์ชาร์จไฟ แบบสามขา (ซึ่งตรงนี้คือส่วนที่แตกต่างจากชุดวางจำหน่ายจริงในบ้านเรานั่นเองครับ)
2. สายไมโครยูเอสบี ซิงค์และชาร์จไฟ
3. ชุดหูฟังสมอลทอร์คแบบอินเอียร์
วัสดุ, ดีไซน์, งานประกอบ
สำหรับวัสดุและดีไซน์ไม่ต้องคิดวิเคราะห์อะไรมากมาย เพราะมันแทบจะถอดแบบจาก S6 Edge ทั้งหมด โดยมีเพียงบางส่วนเล็กน้อยที่ถูกปรับเปลี่ยนหรือตัดออกไป สำหรับงานประกอบ รอบนี้ผมพยายามจับผิดนะ แต่ก็ยังไม่พบเจอสิ่งผิดปรกติ จึงขอสรุปว่ามันเนี๊ยบสมราคาตัว สิ่งที่ผมจะติ มีเพียงเรื่อง handle ที่ฟิลลิ่งมันยังไม่ใช่ คือพูดง่าย ๆ ว่าถ้ากลับด้านหน้าไปอยู่แทนด้านหลัง การจับถือจะกระชับเข้ากับสรีระของฝ่ามือมากกว่านั่นเองครับ
Samsung Galaxy S6 edge+ มาพร้อมกับขอบจอโค้งทั้ง 2 ด้านเหมือน S6 Edge ใน Gen แรก เพียงแต่ขนาดหน้าจอถูกขยายใหญ่ขึ้นเป็น 5.7 นิ้ว โดยยังคงความละเอียดเท่าเดิมไว้ที่ Quad HD และใช้พาเนล Super AMOLED อีกเหมือนเช่นเคย สำหรับตัวจอนั้นให้สีสันสดใสตามสไตล์ AMOLED และการใช้งานกลางแจ้งก็ถือว่ายอดเยี่ยม สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนสบายตา
ด้าน หลังตัววัสดุจะเป็นกระจก แน่นอนว่าดูพรีเมี่ยมสวยงาม แต่ก็แลกมาด้วยการดูแลรักษาที่ต้องระมัดระวังเพิ่มมากขึ้นครับ เพราะถ้าทำหล่นตกแตกนี่งานเข้าได้เลยในเรื่องค่าใช้จ่าย ฉนั้นใส่เคสป้องกันไว้ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ
สำหรับ กล้องหลักด้านหลัง จะมาพร้อมกับความละเอียด 16 ล้านพิกเซล มีระบบกันสั่น OIS (Optical image stabilization) และไฟแฟลชพร้อมกับชุดเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจมาใน กรอบเดียวกัน
เนื่องจากตัวเครื่องมีความบางเพียง 6.9 มม. จึงทำให้เลนส์นั้นจะยื่นออกมาเล็กน้อย แต่ก็จะมีกรอบโลหะล้อมรอบช่วยปกป้องเลนส์ไว้ได้ในระดับหนึ่งครับ
มา ดูด้านหน้ากันบ้าง ไล่จากซ้ายไปขวา ซ้ายมือสุดจะเริ่มจากไฟแจ้งเตือน LED Notification ตามด้วยชุดเซ็นเซอร์ต่าง ๆ และลำโพงสนทนาที่มีตะแกรงปิดทับไว้อย่างเรียบร้อยสวยงาม สุดท้ายจะเป็นกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมกับเลนส์มุมกว้าง
ด้าน ล่างมาพร้อมกับ 3 ปุ่มมาตรฐาน โดย ปุ่ม Recent apps, ปุ่ม Back จะเป็น capacitive button มีไฟส่องสว่างในเวลาที่แตะใช้งาน ส่วนปุ่ม Home จะเป็น physical button ที่มาพร้อมกับเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือ ซึ่งใน Edge+ ได้มีการปรับปรุงต่อยอดให้ดียิ่งขึ้น โดยสามารถแตะเพื่อทำการปลดล็อคได้เลย ไม่ต้องปาดให้เหนื่อยยากอีกต่อไปแล้วครับ
ด้าน บนของตัวเครื่อง ไมค์ตัดเสียงรบกวน และช่องใส่ซิมการ์ด โดยตัวซิมจะเป็น Nano Sim ครับ และที่เห็นเส้นขอบสีขาวที่ตัดด้านข้าง ก็คือส่วนของเสาอากาศนั่นเอง
ด้าน ล่าง ช่องเสียบหูฟัง 3.5มม. ไมค์สนทนา และพอร์ตไมโครยูเอสบี สุดท้ายช่องลำโพงมีเดียหรือลำโพงหลักของตัวเครื่อง คุณภาพโดยรวมถือว่าดีเลย แม้จะเห็นเล็ก ๆ แบบนี้ก็ตาม
ด้านซ้ายมือของตัวเครื่อง จะมีปุ่ม เพิ่ม – ลดระดับเสียง ตรงนี้จะไม่เป็นแบบพาเนลชิ้นเดียวกัน แต่จะแยกกันออกมาเป็น 2 ปุ่ม
ด้านขวามือของตัวเครื่อง มีเพียงปุ่ม Power เปิด-ปิดเครื่องเพียงอย่างเดียว การจัดวางตำแหน่ง ทำได้ดีครับ กดได้ถนัดและสะดวกดีมาก
ขอบ จอโค้งทั้ง 2 ด้าน ณ ตอนนี้กลายเป็นจุดขายและเอกลักษณ์ของแบรนด์ซัมซุงไปแล้วครับ และใน Samsung Galaxy S6 edge+ มีการเพิ่มฟีเจอร์ที่ทำงานร่วมกับ Edge screen เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างก็คือ Edge Apps ครับ
ภาพรวม ๆ ในส่วนของ Hardware ภายนอกก็จะมีประมาณนี้ครับ
มาดูกันต่อในส่วนของ Software แบบคร่าว ๆ กันนะครับ
S6 edge+ มาพร้อมกับ Android 5.1 และครอบทับด้วย TouchWiz UX เหมือนเช่นเคย สำหรับ Software หรือฟีเจอร์จะมีความคล้ายคลึงกับ Note 5 (ยกเว้นฟีเจอร์ปากกา) และผมเชื่อว่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่มีความคุ้นเคยกับแบรนด์ซัมซุงมาอย่างยาวนาน ฉนั้นเรื่องรายละเอียดปลีกย่อย คงไม่ต้องฉายซ้ำ แต่จะขอสรุปภาพรวมของตัว Software ตามนี้นะครับ
ฟีเจอร์หลัก ๆ ของทางค่าย ด้วยความเป็นรุ่น Top จึงมาครบไม่ต่างไปจาก Note 5 ยกเว้นก็แต่ในส่วนของฟีเจอร์ปากกาเท่านั้น ส่วนแอพพลิเคชั่น ปรับปรุงดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก คือไม่จับยัดเยียดมาเยอะแยะให้หนักเครื่อง และแอพที่มีประโยชน์ก็มีมาให้ใช้งานอย่างครบถ้วนเช่น ตระกูล S ทั้งหลาย S Health, S Voice และ Smart Manager แต่สุดท้ายสิ่งที่ชวนงงก็คือ มีแอพ OneDrive มาให้ใช้งานอย่างเดียว ในขณะที่ Note 5 มีแอพบันเดิลของไมโครซอฟท์ที่มาแบบครบถ้วน และอีกอย่างโซเชียลยอดนิยมในบ้านเราอย่าง Line ก็ไม่ถูกบันเดิลมาให้ แต่ดันใส่ WhatsApp ซึ่งกระแสในบ้านเรามันแผ่วไปนานมากแล้ว
สำหรับ จุดขายทางด้าน Hardware ที่มาพร้อมกับจอโค้ง จะมี Software ที่ช่วยซัพพอร์ตคือ Edge Screen โดยความสามารถที่เพิ่มขึ้นมาของ S6 Edge+ ก็คือจะมี Apps edge ที่เป็นการปักหมุดแอพพลิเคชั่นไว้บนหน้าของ Edge Screen ขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างครับ
Hardware Test & Performance
จากนี้มาดูกันต่อในส่วนของผลการทดสอบประสิทธิภาพของตัวเครื่อง Samsung Galaxy S6 edge+ กันต่อเลยครับ
ผลทดสอบความเร็ว Benchmark ด้วย AnTuTu Benchmark ได้ 68221 คะแนน
ผลทดสอบความเร็ว Benchmark ด้วย Quadrant Standard ได้ 33884 คะแนน
ผลทดสอบจาก PCMark ได้คะแนน 5147
ส่วน 3DMark ได้คะแนนที่ 1246
Geekbench 3 ทำคะแนนในส่วนของ Single Core ที่ 953 และ Multi Core ได้ 3909
FXBench GL Benchmark ได้คะแนน Best Score – 931 Frames
ผลทดสอบความเร็ว ด้วย Velamo (Metal) ได้ 2515 คะแนน
ผลทดสอบประสิทธิภาพความเร็วด้วย Velamo (Multicore) ได้ 3165 คะแนน
ผลทดสอบประสิทธิภาพความเร็วด้วย Velamo (Browser) ได้ 5128 คะแนน
ผลทดสอบประสิทธิภาพความเร็วด้วย Velamo (Chrome Browser) ได้ 4898 คะแนน
ผลทดสอบประสิทธิภาพกราฟิกด้วย NenaMark 2 ได้ 60.4 เฟรม/วินาที
ภาครับ สัญญาณของ GPS ทำได้รวดเร็วดีมากครับ ทดสอบการจับสัญญาณโดยที่ไม่เชื่อมต่อดาต้า ทั้งในอาคารและนอกสถานที่ก็ไม่พบปัญหาแต่อย่างใด
ผลทดสอบระบบสัมผัสหน้าจอแบบ Multitouch ได้สูงสุด 10 จุด
เซ็นเซอร์บน Samsung Galaxy S6 edge+ เมื่อใช้โปรแกรม Android Sensor Box ตรวจสอบก็จะมีดังนี้
Accelerometer Sensor
Light Sensor
Orientation Sensor
Proximity Sensor
Gyroscope Sensor
Sound Sensor
Magnetic Sensor
Pressure Sensor
มาดูกันต่อในส่วนของคุณภาพรูปถ่ายจากกล้อง Samsung Galaxy S6 edge+
Samsung Galaxy S6 edge+ มาพร้อมกับกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล โดดเด่นด้วยเลนส์มุมกว้าง
ส่วนกล้องหลักด้านหลังให้ความละเอียดมา 16 ล้านพิกเซล มีระบบกันสั่น OIS ค่ารูรับแสงที่ f/1.9 คุณภาพโดยรวมถือว่าโดดเด่นสมกับเป็นเรือธงของยุคนี้อย่างแท้จริง
เมนู อินเทอร์เฟสไม่แตกต่างไปจาก Note 5 เลยครับ เรียกว่าใช้ Hardware ตัวเดียวกัน และ Software กล้องที่ใช้ในการขับเคลือนก็ยังเหมือนกันอีกด้วย
มีโหมดการใช้งานต่าง ๆ มาให้ครบครัน ครบถ้วน และยังมีโหมดโปรที่ผู้ใช้สามารปรับตั้งค่ากล้องก่อนถ่ายได้อย่างยืดหยุ่น
ความ ละเอียด 16 ล้านพิกเซลจะเป็นอัตราส่วน 16:9 หากต้องการใช้งานอัตราส่วน 4:3 ความละเอียดจะถูกฟิกมาที่ 12 ล้านพิกเซลครับ และในส่วนของกล้องหน้าก็เป็นรูปแบบนี้เช่นกัน
ฟีเจอร์ และการปรับตั้งค่าเมนูกล้องน่าสนใจไม่น้อยเลยครับ ยกตัวอย่างเช่น รองรับการถ่ายวีดีโอ 4K, รองรับฟอร์แมต Raw, มีระบบชกันสั่นในการถ่ายวีดีโอ รองรับระบบโฟกัสติดตาม ฯลฯ
สำหรับการทดสอบกล้องของ Samsung Galaxy S6 edge+ จะมีตามมาอีกหลาย ๆ บทความนะครับ
ฉนั้นบทความนี้จึงขอเน้นไปที่การ Sample ให้เห็นภาพรวม ๆ เป็นหลักครับผม
ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล จะถูกฟิกอัตราส่วนที่ 16:9 เท่านั้น
เมื่อเลือกปรับมาใช้อัตราส่วน 4:3 จะถูกลดความละเอียดลงมาเหลือเพียง 12 ล้านพิกเซล
ในโหมด HDR จะมีการปรับตั้งค่าได้ 3 แบบ คือ Auto, On, Off รูปนี้ผมปิดไว้ จึงเป็นโหมด Nornal นั่นเอง
เมื่อลองเปิด HDR On ให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจมาก ๆ ครับ
Normal Mode
HDR On
ทดสอบกล้องหน้ากันบ้าง
การถ่ายเซลฟี่ด้วย S6 edge+ ทำได้ง่าย ๆ ด้วยการแตะที่ Heart rate เซ็นเซอร์ด้านหลัง หรือ Palm Mode ที่ใช้การยกฝามือค้างไว้ 5 วินาที แล้วกล้องจะถ่ายให้โดยอัตโนมัติ
คุณภาพ กล้องหน้าดีมาก ๆ ทั้งโหมดธรรมดา หรือโหมดบิ้วตี้ เรียกว่าฟินกันไปเลย ถ่ายแล้วดูดีกว่าตัวจริงมาก ๆ (ฮ่า) ในโหมดบิวตี้ ปรับได้ 8 ระดับ และรวมไปถึงพวกฟีเจอร์ ตาโต คางเรียว สกินโทนก็มีมาให้ใช้งานครบถ้วนครับ
ทั้ง 2 ภาพ ถ่ายในสภาพแสงภายในอาคาร โดยรวมให้คุณภาพที่ดี หากเป็น Outdoor จะให้ภาพที่คมชัดและเก็บรายละเอียดได้ดียิ่งขึ้นกว่านี้ครับ
สรุปในส่วนของกล้องบน Samsung Galaxy S6 edge+
สรุปสั้น ๆ แต่ให้ได้ใจความ หากเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นจนผิดหูผิดตามาจาก Note 4 แล้วละก็ ขอให้รู้ว่า S6 edge+ ยังมีพัฒนาที่ก้าวล้ำนำหน้าไปอีกขั้นครับ คุณภาพทั้งกล้องหน้าและหลังดีมาก ๆ เป็นกล้องที่ผมนำไปใช้ถ่ายงานอีเว้นท์มาแล้วหลาย ๆ งาน โดยไม่ต้องพกกล้องใหญ่ไปเลย ตรงนี้การันตีได้ว่ามันยอดเยี่ยมจริง ๆ
สรุป Samsung Galaxy S6 edge+
ข้อดี
1. ดีไซน์สวย มีความพรีเมี่ยมหรูหรา วัสดุและงานประกอบ เรียบร้อยแข็งแรงดีมาก
2. สเปคแรง และการที่ให้ RAM มาถึง 4GB ช่วยให้การใช้งานลื่นไหล ไม่สะดุดติดขัดเลยครับ
3. คุณภาพกล้องหน้าและหลัง สอบผ่าน ให้คุณภาพที่ดีมาก ๆ สามารถติด Top 3 ของเรือธงในปีนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
สิ่งที่ต้องพิจารณา
1. ตัดอินฟาเรดออก แบตถอดไม่ได้ ที่สำคัญเพิ่มหน่วยความจำภายนอกไม่ได้
2. ฝาหลังเป็นกระจก ดูแลรักษาและทำความสะอาดยาก
3. ด้วยดีไซน์ขอบจอโค้งทั้ง 2 ด้าน ทำให้การจับถือไม่ค่อสะดวกและกระชับเข้ามือเท่าไหร่
ก็คงจะฝากไว้แต่เพียงเท่านี้ สำหรับรีวิว Samsung Galaxy S6 edge+ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวทดสอบด้านเอนเตอร์เทนครับ
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ ^^
สามารถพูดคุยเกี่ยวกับบทความนี้ได้ที่หน้าเว็บบอร์ดเดิมครับ pdamobiz.com