Vivo ชื่อนี้หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันแล้วเพราะมีเป็นหนึ่งในแบรนด์จากแดนมังกรที่ขยันทำตลาดในบ้านเราไม่น้อยไปกว่าแบรนด์อื่นๆ ล่าสุดยังขนทัพมาเรื่อยๆ ทั้งรุ่นเล็กใหญ่ และตอนนี้ผมก็ได้สมาร์ทโฟนราคาประหยัดรุ่นเล็กๆ มารีวิวกับ Vivo Y31 ซึ่งสเปคตัวเครื่องต้องบอกว่าไม่แรงเท่าไหร่ตามขนาดตัวเครื่อง แต่ฟีเจอร์อื่นๆ ยังคงจัดมาเต็มเครื่องไม่แพ้รุ่นพี่เช่นเคย
ขอขอบคุณ Vivo Thailand ที่ให้ยืมเครื่องมาทดสอบ
……
Vivo Y31 Specifications:
– หน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด HD (720p) 312ppi
– Mediatek MT6580 Quad Core 1.3GHz
– Ram 1GB
– หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง 8GB
– รองรับ Micro SD Card สูงสุด 128GB
– กล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล F2.0 พร้อมไฟแฟลช LED
– กล้องหน้าความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
– รองรับการใช้งาน 2 ซิม
– GSM 850 / 900 / 1800 / 1900 – SIM 1 & SIM 2
– HSDPA 850 / 900 / 2100
– ขนาดตัวเครื่อง 137.2 x 68.8 x 8.4มม.
– น้ำหนัก 137 กรัม
– แบตเตอรี่ 2,100mAh
– Android 5.1 Lollipop (ครอบด้วย Funtouch OS2.1)
– ราคา 4,990 บาท
1.แกะกล่อง
กล่องของ Vivo ไม่ว่าจะรุ่นไหนๆ ก็จะมาสไตล์เดียวกันหมดคือตัวกล่องสีขาว ด้านหน้ากล่องซ้ายขวาก็บอกแค่แบรนด์ ส่วนด้านหลังจะมีสติกเกอร์บอกรุ่นอยู่หน่อย สเปคก็ไม่มีการบอกใดๆ ทั้งสิ้นครับ
เปิดกล่องออกมาก็จะเจอกับตัวเครื่อง Vivo Y31 นั่นล่ะ ตัวเครื่องที่ได้มารีวิวคือสีขาวซึ่งน่าจะเป้นสีเดียวที่วางจำหน่าย
ยกตัวเครื่องขึ้นมาจะเจอกับอุปกรณ์ในกล่องประกอบด้วย
1.Adapter
2.สาย Micro USB
3.Small Talk
4.แบตเตอรี่
เอาอุปกรณ์ในกล่องทั้งหมดออกมาเรียงไว้ด้วยกันดู ใครไปซื้อมาละมีไม่ครบขอกล่องใหม่เลยนะ
Adapter และสายสีขาวนวลเนียน ส่วนความแรงการจ่ายไฟก็ 1A
ทุกอย่างดูซอฟท์ลงเมื่อเป็นสีขาว เอ้ยไม่ใช่ละ ทุกอย่างเป็นสีขาวจริงๆ กับแบรนด์นี้ หูฟังที่ให้มาก็สีขาวเหมือนกันและเป็นแบบปกติ แต่เรื่องเสียงนี่ไว้ใจได้เลยด้วยระบบ Hi-Fi เสียงดีแน่นอน
แบตเตอรี่ตัวเครื่องขนาด 2,100mAh
ดูอุปกรณ์ไปเรียบร้อย ต่อไปมาดูตัวเครื่องกันบ้าง แหม ขาวเนียนขนาดนี้ช่างน่าสัมผัสจริงๆ (เดี๋ยวนะนี่มันมือถือ) ตัวเครื่องหน้าตานี่เห็นปุ๊บรู้ปั๊บว่า Vivo เพราะออกแบบมาเหมือนกันเกือบหมด แต่ถึงเห็นเครื่องเล็กๆ แบบนี้หน้าจอก็ 4.7 นิ้วเลยนะ
ด้านหลังตัวเครื่องใช้ฝาหลังแบบมันเงา จับละรอยนิ้วมือติดเพียบ แต่ก็แลกมากับความสวยงามและดูดีล่ะ
มาดูตัวเครื่องใกล้ๆ กันต่อ เหนือหน้าจอก็ต้องมีลำโพงสำหรับสนทนาแน่นอนอยู่แล้ว ทางซ้ายเป็นเซ็นเซอร์เอาไว้ให้หน้าจอดับเวลาคุยโทรศัพท์ ทางขวาเป็นกล้องหน้าความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ส่วนไฟแจ้งเตือน LED ซ่อนอยู่เหนือโลโก้
ด้านล่างหน้าจอมีปุ่มสัมผัส 3 ปุ่มตามสไตล์แบรนด์นี้คือมีปุ่ม Menu, Home และ Back
ด้านหลังมีกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง 2.0 พร้อมไฟแฟลช LED ที่มุมซ้ายบน
ด้านล่างมีเพียงลำโพงหน้าตาเก๋ไก๋
ด้านบนมีช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มม.
ด้านซ้ายของตัวเครื่องโล่งๆ โชว์ให้เห็นดีไซน์ของตัวเครื่องอย่างเดียว
ด้านขวาของตัวเครื่องมีปุ่ม Power และปุ่มเพิ่มลดเสียง
ด้านล่างมีช่องเสียบสายชาร์จ/ซิงค์แบบ Micro USB และไมโครโฟนสำหรับสนทนาอยู่ทางซ้าย
เปิดฝาหลังของตัวเครื่องออกมาดูกัน
ช่องใส่ซิมการ์ด 1 จะอยู่ตรงกลาง ซิม 2 จะอยู่ทางซ้าย ส่วนช่องใส่ Micro SD Card ขึ้นไปอยู่ด้านบนเลย
ลองถือตัวเครื่องดู ขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว ใช้งานมือเดียวได้สบายๆ ครับ
มาพร้อม Android 5.1 Lollipop ที่ครอบด้วย Funtouch OS 2.1 นะจ๊ะ
2.User Interface & Feature
User Interface ของ Vivo Y31 นั้นถูกครอบด้วย Funtouch OS 2.1 ที่ถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของ Android 5.1 Lollipop ซึ่งไอคอนก็จะเป็นรูปแบบมีมิติหน่อยไม่ออกไปแนว flat
ส่วน Launcher ของ Vivo นั้นมาเหมือนกันเช่นเคยคือไม่มีการแบ่งหน้า Home และ App Drawer แต่รวมมันทุกอย่างไว้ในหน้าเดียวเลย ถ้าให้นึกถึงง่ายๆก็ iPhone นี่แหละ ที่เหลือจะใส่ Widget จัดเรียงแอพยังไงก็แล้วแต่ชอบเลย
Notification Bar สามารถลากลงมาได้โดยแตะแถบข้างบน ก็จะเป็นการแจ้งเตือนตามปกติ แต่จะมี Event ที่ใกล้ๆ เข้ามาแทรกระหว่างกลางด้วย ทั้งนี้หากปัดลงมาทันทีไม่ได้ลากจากแถบด้านบนจะเป็นการค้นหาทุกอย่างในโทรศัพท์
ส่วน Toggle ทางลัดต่างๆ ในการเปิดปิด Wi-Fi Bluetooth ฯลฯ รวมถึงการปิดแอพ ต้องลากจากด้านล่างขึ้นมา
การจัดการซิม
เราสามารถจัดการใช้ซิมต่างๆ บนเครื่องได้ว่าจะใช้งานซิม 1 หรือ ซิม 2 สำหรับดาต้า ส่วนเวลาโทรออกจะมีให้เลือกว่าจะโทรจากซิมไหน หรือหากอยากจะเข้า Airplane Mode ซิมไหนก็สามารถจัดการได้เช่นกัน
File Manager
File Manager ที่ให้มากับเครื่องเลยใช้งานง่าย เหมือนทั่วๆ ไป โดยแบ่งแยกเป็นประเภทของไฟล์ให้หรือหากใครชอบเข้าตามโฟลเดอร์ที่จัดเก็บก็มีให้เลือกเช่นกัน
Vivo Cloud
ในตัวเครื่องมี Vivo Cloud ให้มาด้วยสำหรับคนที่ต้องการสำรองข้อมูลพวกรายชื่อ ข้อความ รวมถึงบุ๊คมาร์คต่างๆ ทั้งนี้ก็อย่าลืมสมัครบัญชีกันก่อนใช้งานล่ะ
Smart Motion
Smart Motion: กับท่าทางต่างๆ ในการสั่งการเครื่องในรูปแบบต่างๆ อาทิเช่น เคาะหน้าจอ 2 ครั้งเวลาหน้าจอดับเพื่อเปิดหน้าจอขึ้นมา เป็นต้น สำหรับบน Vivo Y31 มีมาแบบจัดเต็มมากโดยแบ่งออกเป็น 4 หมวดใหญ๋ๆ ดังนี้
– Smart Wake: คำสั่งขณะที่หน้าจอดับอยู่ อาทิเช่น ปาดหน้าจอขึ้นเพื่อปลดล็อคหน้าจอ
– Air Operation: ขณะหน้าจอดับและวางเครื่องอยู่เฉยๆ ก็สามารถสั่งการได้โดยใช้การปาดผ่านตัวเครื่อง เช่น เอามือปัดผ่านเซ็นเซอร์บนหน้าจอเพื่อให้หน้าจอแสดงการแจ้งเตือนที่เข้ามาได้
– Smart Light: เปิดหน้าจอง่ายๆ อาทิเช่น เคาะหน้าจอ 2 ครั้งขณะหน้าจอดับหรือจะตั้งให้หน้าจอติดทันทีที่หยิบออกจากกระเป๋าก็ได้
– Smart Call: ท่าทางต่างๆ สำหรับการใช้งานโทรศัพท์ เช่น เมื่อมีสายเข้าเพียงเอาโทรศัพท์เข้ามาแนบหูก็จะเป็นการรับสายทันที
I-Manager
I-manager: เป็นแอพพลิเคชั่นที่ใช้ในการจัดการหลายๆ ค่าต่างๆ ของตัวเครื่องไม่ว่าจะเป็นขยะบนตัวเครื่องที่หากใช้ไปนานๆ จะมีการสะสมแล้วกืนพื้นที่เครื่อง, รวมถึงใช้ดูการใช้งานดาต้าบนตัวเครื่องว่ามีการใช้งานดาต้ากับแอพใดไปมากสุและยังสามารถดูได้อีกด้วยว่าแอพไหนอยู่ในอันดับที่กินดาต้าไปสุด ทั้งนี้ยังมีในส่วนของการจัดการพลังงานให้เราเลือกว่าจะให้ตัวเครื่องทำงานแบบปกติ, เต็มที่หรือประหยัดพลังงานได้อีกด้วย เรียกว่าเป็นหนึ่งในแอพพลิเคชั่นสารพัดประโยชน์ที่ทาง Vivo ติดมาให้กับเครื่องโดยไม่ต้องไปหาแอพอื่นมาลงเพิ่มเลยล่ะ
Benchmark
ทดสอบประสิทธิภาพผ่านแอพต่างๆ ได้ผลดังนี้
– Antutu 20193 คะแนน
– Geekbench: Single Core 358 คะแนน, Multi Core 1178 คะแนน
Quadrant Standard: 9166 คะแนน
– Multitouch สูงสุด 10 จุด
3.กล้องถ่ายรูป
Vivo Y31 มาพร้อมกล้องถ่ายรูปความละเอียด 8/5 ล้านพิกเซล โดย UI การใช้งานกล้องก็เรียบง่าย มีปุ่มถ่ายภาพทางขวาตามสมัยนิยม ปุ่มถ่ายวิดีโออยู่เหนือปุ่มถ่ายรูป ส่วนการสลับกล้องหน้าหลังอยู่ที่ทางซ้ายตรงกลาง ด้านล่างซ้ายมีไว้สำหรับเปิดปิดแฟลช และปุ่มสามปุ่มคือเมนูการตั้งค่าของกล้อง
โหมดการถ่ายรูปมีให้เพียงพอสำหรับการใช้งานประกอบไปด้วย
– Normal หรือ Auto
– HDR
– Children
– Face Beauty
– Watermark
– Panorama
ทั้งนี้ตัวเครื่องมีโหมด Pro มาให้ด้วยซึ่งวิธีการเข้าโหมดโปรก็ไม่ยาก เพียงแค่ลากปุ่มถ่ายรูปเข้าตรงกลางหน้าจอก็เป็นการเข้าสู่โหมดโปรแล้ว โดยโหมดนี้สามารถปรับการโฟกัส, White Balance, Shutter Speed, ISO และ EV ได้
ส่วนกล้องหน้ามีโหมดให้เลือก 3 โหมดได้แก่ Normal, Beauty และ Watermark ซึ่งจะขอพูดถึงเฉพาะโหมด Beauty เพราะมันสามารถใช้งานได้ทั้งในแบบ Auto เลยคือให้กล้องประมวลผลเอง หรือจะเลือกปรับเอาเองก็ได้ว่าจะเอาหน้าเนียน หน้าเล็ก ฯลฯ แค่ไหน ฮ่าๆ
ต่อไปมาดูตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องกันครับ ภาพทุกภาพไม่ได้มีการปรับแต่งใดๆ เพิ่มเติมนอกจากใส่กรอบ, ใส่ลายน้ำและย่อขนาดภาพลงเท่านั้น
งานแสงปกติก่อน
งานกลางคืนบ้าง
งานแสงเหลืองบ้างล่ะ
ภาพจากกล้องหน้าทางซ้ายโหมดปกติ ทางขวาโหมด Beauty แบบ Auto แหม คนละคนกันเลยนะเนี่ย ทางซ้ายนี่อย่างโทรมอะ
สรุป:
ข้อดี
1.รอมลื่น เสถียร
2.กล้องหน้าและหลังคุณภาพดีพอตัว
3.ฟีเจอร์จัดเต็มไม่แพ้รุ่นใหญ่ๆ
4.เสียงจากหูฟังถือว่าดีมากในราคานี้
ข้อเสีย
1.หน่วยความจำภายในตัวเครื่องน้อยเกินไป คอเกมส์คงอึดอัดน่าดู
2.Ram น้อย (แต่ข้อนี้ชดเชยด้วยรอมที่ทำมาดีได้)
3.ไม่มีเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่บอก ต้องโหลดแอพเพิ่มเอา
You must be logged in to post a comment.