วันนี้มีรีวิวหูฟัง bluetooth แบบ sport จาก JBL มาฝากกรันครับ เป็นรุ่น JBL Reflect Response ที่ออกมาไม่นานนี้ล่ะ ซึ่งเทรนด์การออกกำลังกาย ผมว่าหลีกหนีไม่ได้ที่ต้องฟังเพลงไปด้วย ผมเชือ่เหลือเกินว่าหลายๆ คนยังคงพก Smartphone ติดตัวไปออกกำลังกายเพื่อเปิดแอพออกกำลังกายอย่าง Runtastics หรือ Endomodo หรืออีกหลายๆ แอพที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน ซึ่ง JBL Reflect Response เรียกว่าเหมาะเลยทีเดียว
ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่ามาแนะนำ bluetooth headset แบบ sport สำหรับการออกกำลังกาย JBL Reflect Response เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ขึ้นชื่อเรื่องของฟูฟัง และบรรดาลำโพงต่างๆ เรื่องเสียงผมว่าคงไร้ข้อกังขา แต่เรื่องการใช้งานล่ะ มาดูกันครับ
ก่อนอื่นก็เอาสเปคมาอวดกันก่อน
โดยจากสเปคแล้วสามารถใช้งานได้ถึง 10 ชั่วโมงต่อเนื่องเลยทีเดียว ซึ่งใช้งานจริงๆ ผมก็คงฟังไม่ถึง เพราะเวลาวิ่งนี่ชั่วโมงครึ่งก็เกินพอแล้ว ดังนั้นเหลือๆ ครั้ง ผมใช้งานวิ่งไปสามสี่ครั้งสบายๆ เลย ใข้งานแบบยาวๆ
ตัวกล่องจะมีขนาดใหญ่พอสมควร เรียกว่าอลังการงานสร้างเลยล่ะ JBL Reflect Response อยู่ในกลุ่มที่เป็นพรีเมี่ยมเกรดเลย
ด้านหลังบอกฟีเจอร์เอาไว้ครบ ไม่ว่าจะเป็นจุดเด่นของการควบคุมด้วยการสัมผัส หรือ touch control กันเหงื่อ กันชื้น ที่เกิดจากการออกกำลังกาย แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นสุดๆ ก็คงฟังเพลงต่อเนื่องได้ 10 ชั่วโมงนี่ล่ะ อึดมาก ear tips ก็เหมาะกับรูหูและใบหู มีให้เปลี่ยนขนาดด้วย และลักษณะของ neckband ที่คล้องคอไม่ต้องกลัวหลุดเลย
ฟีเจอร์หลักๆ ที่บอกเอาไว้ที่ด้านหน้าของตัวกล่องแพ็คเกจ
สำหรับ eartips มีให้เปลี่ยนตามขนาดของหูของผู้ใช้งานอย่างเราๆ อยู่หลายขนาดนะ
เปิดฝากล่องมาจะพบกับวิธีการใช้งาน touch control ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่เรียกรุ่นนี้ว่า JBL Reflect Response
JBL Reflect Response นอนกองอยู่ พร้อมให้ใช้งานแล้ว สีแดงสวยงามมาก โทนเดียวกับตัวกล่องที่เป็นโทนสีส้มเลยล่ะ
สรุปมี eartips ให้ 2 ชุดนะ ใครจะใช้งานก็ลองดูขนาดกันอีกที
ดูขนาดแล้วเหมือนจะใหญ่ เวลาคล้องคอน่าจะหลวมพอตัวล่ะ
อุปกรณ์ทั้งหมดที่มีในกล่องครับ มีทั้งสายชาร์จ คู่มือ ซองสำหรับใส่พกพา และ eartips
ผมถูกใจก็เรื่องนี้ล่ะ คือจะให้เสียตังค์ซื้อซองสำหรับใส่ไปไหนต่อไหนก็ไม่ว่านะ แต่มันจะหายากที่มีขนาดพอดี และสวยงาม แต่ถ้าแถมมาให้แบบนี้ก็สบายหายห่วง JBL ชัดเจน แน่จริง
เตรียมใช้งานกันล่ะ ดูจากรูปก็เห็นว่ามีสายออกมา อาจจะดูเกะกะหรือเปล่าตอนออกกำลังกาย? ก็เป็นคำถามในตอนแรกอยู่เหมือนกัน แต่พอใส่ไปแล้วนี่ เออ ลงตัวแฮะ
ทั้งขนาดของ neckband ที่ดูเหมือนจะเล็กหรือกว้างไปสำหรับบางคน แต่ผมใส่แล้วพอดี จริงๆ ตัวพลาสติกและความโค้งที่ออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้ทุกขนาดต้นคอ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ของผมนี่ตอนแรกนึกว่าจะหลวมแต่ใส่ไปๆ มาๆ ก็พอดีเลย เชื่อว่าหากคนที่ต้นคอใหญ่ หรือตัวใหญ่กว่าผมใส่ก็ไม่มีปัญหา เพราะขยายขนาดได้ ไม่ได้เป็นพลาสติกแข็ง ง้างแล้วหัก เรียกว่ามีความยืดหยุ่นก็ไม่ผิดนัก
ดูกันใกล้ๆ กับ ตรงส่วนของหูฟัง จะเห็นว่ามี sensor ติดอยู่ด้วย สำหรับเช็คว่าเรามีการแตะที่หูฟังเพื่อใส่คำสั่งหรือไม่ เช่นแตะค้าง 2 วินาที เป็นการเล่นเพลงก่อนหน้านี้ หรือแตะค้างไว้ 4 วินาที เป็นการ lock หรือ unlock ซึ่งทั้งสองข้าง ก็ใส่คำสั่งได้เช่นเดียวกัน
ตรงหูฟังเป็นลักษณะเหมือนยางที่ไม่นุ่มนัก แต่ก็ไม่แข็งมีการยืดหยุ่นตัวได้ดี เวลาใส่ใช้งานก็ไม่รู้สึกเจ็บหรือระคายหูนะ
ตรงที่เกี่ยวหูคือออกแบบมาให้รับกับลักษณะของหูเรา จะเห็นว่าหูเรามีร่องอยู่ใช่ไหมครับ เจ้านี่ล่ะที่ลงไปเกาะกับร่องหูเราพอดิบพอดีเลย ทำให้กระชับขึ้นด้วย
ส่วนของลำโพงที่ ผมมักจะไม่ได้พูดถึงมาก เพราะเรื่องเสียงนี่นอกจากลำโพงแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับหูของแต่ละคนด้วย แต่อย่างน้อยก็เป็นลักษณะ in ear ที่ยื่นส่วนของลำโพงเข้าไปในรูหู ทำให้เสียงเข้าไปได้ลึก และครบถ้วน
ear tips ก็ถอดเปลี่ยนได้ไม่ยากด้วย
ตรง neckband ส่วนที่สวมกับคอ มีขนาดใหญ่ จนคิดว่าตอนวิ่งจะเป็นยังไงน้อ เพราะปกติวิ่งจะใช้ bluetooth headset ทั่วๆ ไป แต่ก็ผิดคาด ไม่ได้รู้สึกรำคาญมากมายอะไร จะถามว่าไม่รู้สึกเลยก็คงไม่ใช่ รู้สึกล่ะว่ามีอะไรมาอยู่บนคอของเรา แต่ใช้งานไปก็ชิน และอาจจะด้วยน้ำหนักเบา ทำให้ไม่ได้มีผลมากนัก
ซึ่งเชื่อว่าเจ้า neckband นี่ล่ะคงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ JBL Reflect Response ฟังเพลงได้นาน 10 ชั่วโมง เพราะเป็นที่เก็บแบตเอาไว้ได้อย่างดี ขนาดตั้ง 3000 mAh นี่น้องๆ Smartphone รุ่นใหญ่เลยนะ
เวลาชาร์จก็มีพอร์ท micro USB ตามปกติ เปิดฝาออก ชาร์จได้เลย ใช้เวลาชาร์จก็ประมาณนึงเหมือนกัน อย่างว่าแบตก้อนใหญ่ ก็ต้องใช้การชาร์จที่นานหน่อย ผมใช้ชาร์จทิ้งไว้ตอนช่วงนอนหลับเวลากลางคืน เต็มเสร็จเช้ามาใช้งานต่อได้เลย
ตรงส่วนของสายก็ทำออกมาดีนะ สายเป็นลักษณะสะท้อนแสง เวลากลางคืนใส่วิ่งๆ ก็ช่วยให้รู้ได้ว่ามีคนใส่วิ่งอยู่ แต่อาจจะต้องสังเกตุกันนิดนึง เพราะสายไม่ได้ยาวนัก จริงๆ ควรออกแบบส่วนของการสะท้อนแสงบน neckband ด้วย เพราะเวลาวิ่ง รถที่ผ่านไปมา ส่วนใหญ่จะอยู่ด้านหน้าหรือด้านหลัง ซึ่งแน่นอนว่าแค่สายที่อยู่ด้านข้าง ไม่ได้ยาวมากนัก ก็อาจจะไม่พอกับการสังเกตุก็ได้นะ
แน่นอนว่ามมีปุ่ม ปิด หรือเปิดการใช้งานอยู่ตรงนี้ รวมถึง LED แสดงสถานะไฟสีต่างๆ เพื่อให้รู้ว่าอยู่ในโหมดไหน หรือแบตใกล้หมดแล้วหรือยัง
ด้านในสกรีนมาตรฐานต่างๆ เอาไว้ครบ
มีตัวล็อคสายด้วยนะ สำหรับเวลาไม่ได้ใช้งาน หูจะได้ไม่ห้อยไปมาให้น่ารำคาญใจ
คราวนี้มาลองใส่ใช้งานกันจริงๆ สักหน่อย
ใส่แล้วก็จะเป็นลักษณะนี้ล่ะ
ในส่วนของ neckband จะเห็นว่าพอดีเลย
เวลาไม่ได้ใช้งาน ก็คล้องเอาไว้แบบนี้ได้เลย
เดี๋ยวจะหาว่าไม่ได้เอาไปวิ่งจริงๆ ฮ่ะๆ ใส่แบบนี้เหมือนจะหลุด แต่จริงๆ เปล่าเลย นี่ขนาด เอี้ยวคอมาเพื่อถ่ายภาพแล้วนะ
มันเป็นลักษณะนี้ล่ะครับ เวลาวิ่ง ก็จะล็อคกับคอพอดิบพอดี ส่วนสายที่คิดว่าระโยงระยาง แกะกะ ก็ไม่เหมือนที่คิดไว้ สรุปคือดี
สรุปกันสักนิด
ที่ผมมชอบนี่ก็คงเป็นเรื่องของการใส่ที่ ปกติใส่ออกกำลังกายหรือวิ่ง จะไม่ได้ใส่ลักษณะนี้เลย คือแบบมีสายก็ห้อยต่องแต่งกันไป บางครั้งก็เกะกะเหมือนกัน แต่แบบ neckband นี่ก็แปลกไปอีกแบบ จะว่ารู้สึกรำคาญไหม สำหรับผมก็คือไม่นะ อันนี้อาจจะแล้วแต่บุคคล กับน้ำหนัก จริงๆ 450 กรัมเหมือนจะมาก แต่ใส่วิ่งก็ไม่ได้รู้สึกว่าหนักอะไร แต่แน่นอนว่าความรู้สึกคือ มีตรงต้นคอที่เพิ่มขึ้นมานั่นล่ะ แต่ด้วยระหว่างวิ่งโฟกัสเรื่องอื่น ก็อาจจะลืมเรื่องนี้ไปเลย และเวลาฟังเพลง ก็อายุยาวนานเหลือเกิน สบายใจหายห่วง แม้มาราธอนก็ยังเอาอยู่แน่นอน ส่วนของการควบคุมการเล่นเพลง ก็ใช้วิธีแตะไปที่หูง่ายๆ แค่ 1/2/4 วินาที แล้วแต่คอนโทรลด้านซ้ายหรือด้านขวา ก็ไม่ยากครับ แต่ต้องบอกว่าครั้งแรกๆ อาจจะแอบงงนิดๆ พอจับจังหวะการแตะได้ก็สบายละครับ อื่นๆ ที่เห็นว่าเป็นข้อเสีย ผมว่าอาจจะรำคาญตรง neckband ที่เกาะอยู่บนคอนี่ล่ะ แต่เอาเข้าจริงๆ อย่างที่บอกว่าไปโฟกัสเรื่อง zone เรื่องเพลงที่ฟัง ก็ลืมตรงจุดนี้ไปเลย อีกอันคือราคาครับ JBL นี่ก็ราคาแอบแรงอีกเช่นเคย ราคาค่าตัวเค้าอยู่ที่ 5,990 บาท ครับผม ใครว่าวิ่งใช้ต้นทุนน้อย ไม่จริงใช่ไหมล่ะ ฮ่ะๆ เจอ JBL Reflect Response เข้าไปนี่ก็พอตัวเลย
ขอบคุณ บริษัทมหาจักรดีเวลอปเมนท์จำกัด ที่ให้ยืมอุปกรณ์ทดสอบนะครับ
You must be logged in to post a comment.