Blind Test: ศึกกล้องคู่ระหว่าง iPhone 7 Plus VS Huawei P9 Plus

ปี 2016 กลายเป็นปีที่สมาร์ทโฟนเรือธงหลายค่ายหันมาทำกล้องคู่กันหมด ทั้งที่จริงๆ กล้องคู่เนี่ยมีมาตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว ซึ่งในวันนี้ก็จะมาปล่อยภาพจากเรือธงทั้งสองรุ่นให้ได้ชมกันระหว่าง iPhone 7 Plus VS Huawei P9 Plus ซึ่งเป็นกล้องหลังคู่เหมือนกัน แต่จะไม่บอกก่อนว่าภาพไหนมาจากกล้องตัวไหน ให้ลองทายกันดู

ก่อนจะไปดู Blind Test เราไปดูสเปคกล้องของแต่ละรุ่นกันก่อน

iPhone 7 Plus: กล้องหลังคู่ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล โดยเป็นเลนส์ระยะ 28มม. F1.8 พร้อม OIS และเลนส์ระยะ 56มม. F2.8 (2x optical zoom), และไฟแฟลช LED 4 ดวง, รองรับการถ่ายวิดีโอ 2160p@30fps, 1080p@30/60/120fps, 720p@240fps

Huawei P9 Plus: กล้องหลังแบบเลนส์คู่ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง (F) 2.2 โดยเลนส์ตัวนึงใช้เซ็นเซอร์สำหรับถ่ายขาวดำโดยเฉพาะ และอีกเลนส์นึงใช้เซ็นเซอร์สำหรับถ่ายรูปสีปกติ พร้อมด้วย Laser Focus ช่วยในการโฟกัส และไฟแฟลช LED 2 ดวง 2 สี ซึ่งเลนส์กล้องตัวนี้ได้ร่วมกันพัฒนากับ Leica และผลิตโดย บริษัท Sunny Optical Technology แต่เซ็นเซอร์ของกล้องนั้นใช้ Sony IMX286 (ขนาดพิกเซล 1.25μm)

ต่อไปเป็นตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องทั้งสองรุ่น โดยจะเรียงภาพจากกล้องมือถือ A และ B หมด ซึ่งภาพทุกภาพที่ถ่ายออกมาได้ใช้โหมด Auto ทุกภาพ ไม่มีการปรับแต่งภาพ นอกจากย่อขนาดและใส่ลายน้ำเท่านั้น

ภาพแรก: ถ่ายทะเลที่เกาะล้าน เวลาราวๆ บ่ายโมง ซึ่งแสงแดดขนาดนั้นบอกได้เลยว่าแรงสุดๆ แต่วันนั้นด้วยความที่มีเมฆเยอะเลยเห็นท้องฟ้าอันสวยงามน้อยไปหน่อย

ภาพที่สอง: เวลาบ่ายๆ เช่นเดิม เพียงแต่ภาพนี้หันไปถ่ายทะเลเต็มๆ เท่านั้น ฟ้าเปิดสว่างสดใส แต่เมฆจะเยอะไปไหน

ภาพที่สาม: มุมเดียวกันกับภาพที่สอง แต่ภาพนี้ใช้การ Zoom 2X เข้าไป เพื่อทดสอบความคมระยะไกล

ภาพที่สี่: ยังคงอยู่กับการ Landscape แต่เปรียบมุมที่ถ่าย และเวลาที่ถ่าย คือภาพนี้ถ่ายตอนประมาณบ่ายสามโมง แต่ท้องฟ้ายังสดใสเช่นเคย

ภาพที่ห้า: ย้ายมาถ่ายถนนที่ถูกล้อมรอบด้วยภูเขากันบ้าง แดดยังจ้าเหมือนเดิม แต่ตรงนี้เมฆน้อยดี เผยให้เห็นถึงท้องฟ้าสีฟ้าอันสวยงาม

ภาพที่หก: เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ตอนนี้ราวๆ สี่โมงกว่าๆ ฉากนี้มีเงาอยู่ด้านหน้า สว่างด้านหลัง เพื่อมาดูกันว่ามือถือแต่ละรุ่นเก็บรายละเอียดภาพที่มีความต่างระหว่างแสงและเงาได้ดีแค่ไหน

ภาพที่เจ็ด: เวลาประมาณสี่โมงกว่าๆ เช่นกัน ยังคงเน้นภาพที่มีเงาปกปิดอยู่บางส่วน จริงๆ ทั้งสองรุ่นทำได้ดีเหมือนกัน

ภาพที่เเปด: ลองถ่ายย้อนขึ้นไปบนฟ้าดูบ้าง เวลาประมาณสี่โมงกว่าๆ กับวันที่เมฆยังคงเยอะเช่นเดิม

ภาพที่เก้า: ภาพนี้เป็นแสงตอนเย็นในร้านกาแฟ ซึ่งเป็นช่วงเวลาราวๆ 4-5 โมง มีแสงแดดเหลืองๆ ส่องเข้ามา จะทำให้ส่วนของเงาค่อนข้างเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งก็ต้องมาดูว่ามือถือ A หรือ B ถ่ายภาพออกมาได้ดีแค่ไหน

ภาพที่สิบ: มุมเดียวกับกับเมื่อตะกี้ แต่เป็นคนละมุมกัน และรอให้แสงแดดส่องมาเบากว่าเดิม ฉะนั้นแสงเหลืองจะลดลงไป

ภาพที่สิบเอ็ด: ถ่ายรูปอาหารกันบ้าง อาหารกลางวันเวลาประมาณบ่ายโมง ไม่มีแสงไฟในร้าน อาศัยแสงแดดจากมุมบนของภาพเอา ภาพนี้ทั้งสองภาพให้สีที่ค่อนข้างแตกต่างกันชัดเจนอยู่เหมือนกัน

ภาพที่สิบสอง: ถ่ายอาหารตอนเวลาประมาณบ่ายสอง เน้นแสงแดดธรรมชาติเช่นเคย ตัวไม้โต๊ะนั้นเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ นะ

ภาพที่สิบสาม : ไปถ่ายอาหารในที่แสงน้อยกับหลอดไฟสีเหลืองนวลๆ กันบ้าง สภาพแสงค่อนข้างโหดร้ายกับกล้องมือถือพอตัว ฉะนั้นต้องดูสีว่าจะจับมาได้ดีแค่ไหน ดูกุ้งทอดก็ได้มันต้องเหลืองๆ ส้มๆ หน่อย

ภาพที่สิบสี่: สภาพแสงเหมือนภาพที่สิบสี่แต่เปลี่ยนเมนูเป็นปลาหมึกแทน สองภาพนี้เห็นความต่างของสีสันชัดเจนมาก

ภาพที่สิบห้า: ถ่ายย้อนแสงกันบ้าง อันนี้แสงเช้าตอน 7.30น. คนเดินผ่านไปมา ฉะนั้นตัวคนในภาพนี่ควบคุมไม่ได้อยู่ละ แต่ดูรายละเอียดแสงสีกันเอาละกัน แดดเช้าๆ นี่แสงส้มแรงมากอยู่

ภาพที่สิบหก: ภาพถนนยามค่ำคืนกับหลอดไฟสีส้มตามท้องถนนหลังฝนตก

สำหรับการ Blind Test ก็ให้ดูภาพกันเยอะพอประมาณแล้วล่ะ พอจะเดากันออกหรือไม่ว่า A คือสมาร์ทโฟนรุ่นใด และ B คือสมาร์ทโฟนรุ่นใด ฮ่าๆ เอาจริงๆ ถ้าผมไม่รู้ก่อนก็เดาไม่ค่อยถูกเหมือนกันเพราะทั้งสองตัวนี่ทำได้ดีทั้งคู่เลย แต่อาจจะมีความเก่งกันคนละสถานการณ์ด้วย เอาล่ะ มาดูเฉลยกันว่าภาพไหนมาจากกล้องไหนกัน
A = iPhone 7 Plus
B = Huawei P9 Plus

สุดท้ายแล้วการรีวิว Blind Test: iPhone 7 Plus VS Huawei P9 Plus ครั้งนี้ก็เพื่อเปรียบเทียบภาพที่มาจากกล้องระหว่างสมาร์ทโฟนเรือธงทั้งสองตัวเท่านั้น ซึ่งภาพที่ได้มีผลเป็นอย่างไร และใครชอบภาพแบบไหนคงต้องตัดสินใจตามความชอบของตนดูครับ