สวัสดีวันอาทิตย์แรกของเดือนแห่งความรักครับ วันนี้จะขอพูดถึงเรื่องที่เริ่มเข้ามาใกล้ตัวเราขึ้นทกทีกับเทคโนโลยี USB-C ซึ่งเมื่อปีที่แล้วอาจยังดูไกลตัวอยู่ แต่ปัจจุบันเริ่มมีอุปกรณ์ที่หันมาใช้พอร์ทดังกล่าวมากขึ้นแล้วล่ะ แต่ทำไมหลายๆ แบรนด์ถึงหันมาใช้เจ้า USB-C ล่ะมันมีอะไรดีล่ะ เรามาดูกัน
1.ขนาดเล็ก: USB-C มีขนาดที่เล็กลงกว่าพอร์ทหลายๆ พอร์ท (แต่ยังใหญ่กว่า Micro USB) ซึ่งจริงๆ ขนาดมันกว้างแค่ 8.4มม. และสูงเพียง 2.6มม.
2.ใช้ชาร์จไฟได้กระที่ง Laptop: ถ้าเป็นพอร์ท Micro USB หรืออะไรก็ตามที่มีขนาดเล็ก กำลังไฟที่พอร์ทดังกล่าวจะสามารถรับมาจ่ายต่อให้กับอุปกรณ์ได้นั้นยังมีความแรงไม่เพียงพอสำหรับการชาร์จ Laptop แต่สำหรับ USB-C เนี่ยรองรับไฟได้สูงสุด 5แอมป์ 20โวลต์เลย (100W) ซึ่งคอมเนี่ยไม่มีตัวไหนต้องใช้กำลังไฟแรงถึง 100W หรอก
3.โอนถ่ายข้อมูลรวดเร็ว: USB-C เป็นมาตรฐานใหม่ก้าวล้ำไปอีกขั้นเกินกว่า USB3.0 ที่จริงๆ ก็ถือว่าเร็วมากแล้วสู่ USB3.1 ซึ่งสามารถโอนถ่ายข้อมูลได้เร็วกว่าเดิมอีกมาก(ทั้งนี้ทั้งตัวโอนและตัวรับโอนต้องรองรับทั้งคู่นะ)
4.เอนกประสงค์: USB-C สามารถรองรับการแปลงเป็นพอร์ทอะไรก็ตามได้หมดไม่ว่าจะเป็น HDMI, VGA, พอร์ทหน้าจอ ฯลฯ แต่ราคาตัวแปลงหลายๆ ตัวก็อาจแพงเอาเรื่องอยู่นะตอนนี้
5.ย้อนกลับได้ !!: งงสิ จริงๆ ใช้คำว่า Reversible จะดีกว่า คือเจ้า USB-C เนี่ยสามารถเป็นได้ทั้งตัวรับและตัวส่ง ฉะนั้นสมมติว่าสมาร์ทโฟนที่เราใช้อยู่เป็น USB-C แล้วมันก็สามารถกลายเป็น Power Bank ได้เช่นกัน อันนี้ผมเคยลองกับ Huawei P9 Plus ละ สามารถจ่ายไฟให้เครื่องอื่นได้ แต่ช้าพอตัวและไม่คุ้มค่าอย่างแรง
สำหรับข้อดีของ USB-C ที่นึกออกก็มีประมาณนี้ครับ อีกไม่นานคาดว่าหลายๆ อุปกรณ์น่าจะเปลี่ยนมาใช้งานพอร์ทดังกล่าวกันอีกมากแน่นอน ทั้งนี้มีความเป็นห่วงอยู่เรื่องนึงก็คือเรื่องการจ่ายไฟ ด้วยความสามารถของมันที่รองรับการจ่ายไฟสุดรุนแรง ฉะนั้นหากทำตัวจ่ายไฟ(Adapter) มาไม่ได้มาตรฐานมันก็มีสิทธิทำให้แบตเสื่อมสภาพเร็วได้หรืออาจเกิดเหตุไม่คาดคิดกับอุปกรณ์เราได้ครับ ฉะนั้นเวลาเลือกซื้ออุปกรณ์เสริมก็ควรเลือกซื้อแบรนด์ที่เชื่อถือได้จะดีกว่า เสียเงินเพิ่มอีกไม่กี่ร้อยดีกว่าเสียอุปกรณ์ราคาหลายหมื่นนะครับ