คงเห็นพรีวิวกันไปหลายตัวแล้ว วันนี้ผมขอจับมารีวิวแบบเต็มๆ เลยก็แล้วกันครับ หลังจากใช้งานมาสักพัก เจ้า Nokia 6 นี่เป็นรุ่นแรกในการกลับมาของแบรนด์ Nokia ที่ครั้งสุดท้ายคืออยู่กับ Microsoft แต่ตอนนี้อยู่ภายใต้การทำตลาดของ HMD Global ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ ณ ขณะนี้ หลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Nokia 3, Nokia 5, Nokia 8 เอง และเจ้า Nokia 3310 ที่จะกลับมาอีกรอบนึง วันนี้เอง Nokia 6 มีความน่าสนใจแค่ไหน ต้องมาดูกันล่ะ อ้อ ที่สำคัญคือ ไม่ได้มีขายกันในเมืองไทยตามปกติ หากอยากได้ต้องร้านหิ้วนะครับ
เครื่องที่เอามารีวิวนี่คือเครื่องจากจีนนั่นล่ะครับ แต่เป็นเครื่องมือสองแล้ว ต้นทางจาก @iaumreview อาจจะเรียกว่าเป็นเครื่องแรกในไทยนั่นเอง ฮ่ะๆ เป็นสีดำ จริงๆ แอบอยากได้สีขาว แต่คงหายากน่าดู ในจีนเองก็จองกันแบบว่าคิวยาว และหาซื้อยากพอสมควร จะเห็นว่าการกลับมาครั้งนี้ก็ไม่ธรรมดา ชื่อของ Nokia ยังคงเป็นเสห่น์ที่ยังไม่รู้ลืม
ข้อควรรู้เบิ้องต้น
- รองรับภาษาไทย
- ไม่มี Google Service
สองอย่างนี้ล่ะครับ หลักๆ ที่ควรรู้ ดังนั้นอะไรก็ตามที่อิงกับ Google Service ไม่ใช่เฉพาะแค่ play store นะ ใช้งานไม่ได้ทั้งหมด หากรักจะใช้งานรุ่นนี้ต้องหาทางกันเอาเอง
สเปคเบื้องต้นของ Nokia 6
● หน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 430 1.8 GHz
● หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 505
● หน้าจอแสดงผลชนิด IPS LCD ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD
● RAM 4GB
● หน่วยความจำภายในตัวเครื่องขนาด 64GB และรองรับหน่วยความจำ MicroSD ได้สูงสุด 256 GB
● กล้องด้านหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล f/2.0, phase detection autofocus, LED flash
● กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/2.0
● รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด และ 4G LTE/ ซิมที่ 2 รองรับ 2G
● USB 2.0/USB OTG
● แบตเตอรี่ความจุ 3,000 mAh รองรับ fast charging
● ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ Android 7.0 Nougat
● ขนาดตัวเครื่อง 154 x 75.8 x 8.4 มม.
● น้ำหนัก 169 กรัม
● มีระบบ Dolby Atmos
● มี fingerprint
● สีดำ, สีขาว
● ราคาวางจำหน่ายประมาณ ราคา 1x,xxx บาท
ในกล่องมีอะไรบ้าง?
ในกล่องมีให้ตามปกติมาตรฐาน มาตฐานจนเกินไปเสียด้วยซ้ำ อาทิเช่นหูฟัง ทั้งที่มีระบบเสียงที่ดี แต่ว่าหูฟังที่แถมให้กลับเป็บแบบบ้านๆ จนเกินไป ส่วนที่ชาร์จก็ให้ความรู้สึกของความเป็น Nokia ในยุค Lumia เป็นอย่างดี
พูดถึงกล่องของ Nokia 6 ผมว่าออกแบบมาให้รู้สึกถึงความเป็น Microsoft Lumia ในยุคสุดท้ายก่อนจะเลิกจำหน่ายไป อารมณ์กล่องก็ประมาณนี้อยู่แล้ว ส่วนภาพของการจับมือกัน เหมือนกับคอนเซ็ปท์ Nokia สมัยก่อนทีมีรูปมือจับกันนั่นล่ะครับ นี่คือคอนเซ้ปท์เดิมๆ แต่มาในรูปแบบใหม่ จะเห็นว่าข้อมือมีใส่ wristband จำนวนมากอยู่ ผมว่าน่าจะมีความหมายสื่ออะไรสักอย่างล่ะ ต้องดูว่ารุ่นหน้า จะมีคอนเซ็ปท์แบบเดียวกันหรือไม่
ตัวกล่องด้านหลังเอง จะมีสเปคบอกเอาไว้อย่างละเอียด ภาษาจีนล้วนๆ อันนี้อ่านไม่ออกจริงๆ
ดีไซน์และตัวเครื่อง
ตัวเครื่องเองมีขนาดและน้ำหนักกำลังพอดีมือ ความสวยงามของตัวเครื่อง ก็ดูพรีเมี่ยมกว่า Nokia ที่ผ่านๆ มา ความแข็งแรง ถามผมว่าแข็งแรงไหมก็ในระดับหนึ่งล่ะ แต่หากตกไปล่ะก็ ความอึดที่เคยมีคงไม่เหลือเหมือนกัน เรียกว่าไม่มั่นใจในความอึดที่เคยมีมาตั้งแต่ดั้งเดิม ที่เป็นจุดนึงที่เวลาเราพูดถึง Nokia คือเรื่องความคงทน คือไม่ใช่ว่าตกแล้วจะไม่เป็นอะไร มันบาดเจ็บหมดล่ะครับ แต่บาดเจ็บของ Nokia คือน้อยกว่านั่นล่ะ ซึ่ง Nokia 6 จัดหน้าจอกระจกแบบ 2.5D ที่มีความโค้ง และมี่ขนาด 5.5 นิ้ว การแสดงผลความละเอียด Full HD เต็มๆ คือสั้นๆ ว่าสวยงาม เรื่องหน้าจอ ผ่านอย่างไม่ต้องสงสัย
Nokia 6 ได้กล้องหน้ามา 8 ล้านพิกเซล f/2.0 ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน เรื่องกล้อง Nokia ก็ทำชื่อเอาไว้ค่อนข้างดีอยู่แล้ว แต่ฟีเจอร์นี่ไม่ว้าวแฮะ ไว้ดูในภาพถ่ายและเรื่องของกล้องด้านล่างอีกทีนะครับ
Nokia 6 มาพร้อมกับปุ่ม Home ที่มี fingerprint อยู่ในตัว การใช้งานก็ไม่ได้เน้นความรวดเร็วอะไร ต้องมีจังหวะและเสียงสักแป๊ปนึง ถึงจะเข้าใช้งานได้ และฟีเจอร์ของการสแกนลายนิ้วมือก็มีเฉพาะปลดล็อคการใช้งานเท่านั้น ไม่ได้มีอย่างอื่นผสมเลย เรียกว่าพื้นๆ ก็แล้วกันนะ
ด้านบน มีเพียงช่องเสียหูฟัง 3.5 มม. เท่านั้น ซึ่งอย่างที่เห็นว่าหูฟังที่แถมมาให้ก็ธรรมดาๆ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่ทว่ามีฟีเจอร์ Dolby Atmos ติดตัวมาด้วย พลังเสียงก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน แต่คงต้องหาหูฟังเพิ่มเติมกันอีกที
ด้านล่างมีไมค์ พอร์ท micro USB ตามปกติ ยังไม่เปลี่ยนเป็น USB-C และลำโพง ดีไซน์ไม่ได้รับอิทธิพลจาก iPhone ล่ะนะงานนี้ ปกติเราจะเห็นว่าเป็นช่องเสียงและไมค์ที่คล้าย กับ iPhone กันทั้งนั้น แต่ Nokia ไม่
ด้านหลังเป็นสีดำสนิท เรียกว่าสีดำแบบนี้ กลับมาฮิตกันอีกครั้ง หลังจากที่ไปเน้นสีต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา อาทิเช่น rose gold นั่นล่ะครับ แต่ Nokia 6 มาในสีเบสิค สีดำ และสีขาว ธรรมดาๆ นี่ล่ะ สวยงาม
กล้องด้านหลัง 16 ล้านพิกเซล มี PDAF ในตัว และ f/2.0 ซะด้วย ไปดูภาพถ่ายตัวอย่างกันด้านล่างเลยนะ
อย่างนึงที่เป็นกังวลล่ะครับ เพราะตัวกล้องนี่นูนออกมา ถ้าดูดีๆ แล้วกล้องไม่ได้นูนออกมา แต่มีตัวกระจกน่าจะเอาไว้สำหรับกันรอยที่จะเกิดจากการวางลงกับพื้นนี่ล่ะ ดังนั้นเราจึงเห็นว่าเป็นลักษณะนูนออกมา แต่ไอ้เจ้ากระจกนี่ รายละเอียดก็ไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร กันรอยได้แค่ไหน่ แต่น่าจะเป็น sapphire ล่ะนะ ไม่งั้นคงเอาไม่อยู่
ขอบด้านหลังทั้งด้านล่างและด้านบน สังเหตุเห็นจะมีสีดำอ่อนกว่าฝาด้านหลัง เป็นตัว U คาดเอาไว้ทั้งด้านบนด้านล่าง อันนี้ก็น่าจะเป็นดีไซน์เฉพาะตัว ที่ไม่ได้เห็นจากใคร นอกจาก Nokia
ด้านข้างความบางก็พอได้อยู่นะ โดยภาพรวมแล้วก็จับถนัดมือดี ถึงแม้ว่าจะบาง 8.4 มม. ไม่ได้บางที่สุด หรือสุดๆ ก็ตามที แต่ที่น่าแปลกใจนิดนึงก็คือ ปุ่ม shutter ที่เคยมีใน Nokia รุ่นก่อนๆ หรือรุ่นใหญ่ จะไม่มีอีกแล้วใช่ไหม? หลังจากที่ช่วงก่อนหน้าโน้น รุ่นที่เน้นเรื่องกล้อง มีปุ่ม Shutter ให้ด้วย สะดวกกับการใช้งานมากมาย
ปุ่มกด เรียบๆ แต่ดูสวยงาม แถบตัดขอบสีขาวขุ่นจะอยู่ด้านข้างแทนด้านบน ที่เราอาจจะเคยเห็นในหลายแบรนด์
และจะมีขอบตัดสีเงินทั้งขอบด้านบนและด้านล่าง การดีไซน์ของ Nokia 6 ดูเก็บรายละเอียดได้ดีเลยทีเดียว ง่ายๆ คือชอบน่ะ
อีกด้านนึงก็เรียบๆ ไม่มีอะไรนอกจากถาดซิม
ซึ่งตรงถาดใส่ซิม รองรับการใช้งานซิมแบบนาโนเท่านั้น และที่สำคัญคือ SIM ที่ 2 จะใช้งานได้เฉพาะ 2G เท่านั้น หากจะใช้ 4G ต้องใส่ SIM ช่องแรก และสามารถใส่ micro SD Card เพิ่มได้ตามคอนเซ็ปท์ ซึ่งอันนี้น่าเสียดาย ถ้ารองรับ 4G ทั้ง 2 ซิมก็น่าจะดีกว่า
มาดูเรื่องซอฟท์แวร์ และ UI กันบ้าง
ตัว UI มีลักษณะเป็นไอคอนทรงกลม โทนสีฟ้า รวมถึง default blackgroud ที่มาในโทนเดียวกันซะด้วย เห็นแล้วให้ความรู้สึกถึงความเป็น Nokia 6 ได้ทันที เรียกว่าน่าจะเป็น Theme ที่สื่อให้เห็นถึงความเป็น Nokia ในยุคนี้ แต่ก็ยังสงสัยว่าจะมี Launcher อื่นๆ มาเพิ่มเติมในอนาคตหรือไม่ ส่วนแอพที่ให้มาก็พื้นฐาน ไม่ได้มีอะไรพิเศษ มีแค่แอพที่เป็นภาษาจีนและ WeChat ที่เค้านิยมใช้งานกันในจีนนั่นเอง ส่วนพี่ไทยเราคงผ่าน นอกจากต้องติดต่อกับคนจีนอาจจะต้องใช้ WeChat ก็ได้นะ เรียกว่าการใช้งานพื้นฐานครบ
ไม่ต้องงงครับ ในภาพไม่มี Google Play Store ดังนั้นไม่สามารถลงแอพที่เคยซื้อมาได้ ดังนั้นใครที่ชอบค้นหาก็ Google เลย มี บราวเซอร์ติดตัวมาให้ ไปหา .apk มาติดตั้งเองในนั้น หรือจะ store นอกก็ได้ อันนี้ไม่น่าจะยากอะไร อีกเรื่องนึงคือไม่มี Google Service ดังนั้นจบข่าวถ้าชีวิตปัจจุบันต้องอาศัย Google Service ทั้งหมด
notification และ shortcut menu ด้านบน
การใช้งานโทรศัพท์ หากมีรายชื่อเก็บอยู่ก็สามารถค้นหาผ่านการกดเบอร์ได้เลย Smart Dial ยังคงมีอยู่ เอาจริงๆ ก็เป็น default ของ Android ในยุคนี้ไปแล้วนะ ส่วนที่น่าสนใจก็คือ เราสามารถทำ Filter เบอร์แปลกๆ ได้เลย โดยใช้เมนู Harassment filter ไม่ต้องลงแอพเพิ่ม
ภาษาทไยได้อยู่นะ ทั้งพิมพ์และเมนูต่างๆ
เรื่องแบตเตอรี่และการใช้งาน มีโหมดประหยัดพลังงาน โดยจะเตือนเมื่อต่ำกว่า 20% ซึ่งการใช้งานผมถือว่าผ่านนะ ใช้งานได้ทั้งวันสบายๆ รวมถึงรองรับ fast charging ที่ชาร์จได้อย่างรวดเร็ว
ลองทดสอบความแรงกันหน่อย ก็ประมาณนี้เลย ไม่แรงมากนัก และรองรับการทัชสกรีนหน้าจอ 10 นิ้ว
เรื่องของเครือข่าย รองรับทุกเครือข่าย แต่ทว่าไม่สามารถสลับเครือข่าย 4G มาที่ ซิมที่ 2 ได้ เนื่องจากติดที่ Hardware ต้องถอดถาดซิมมาเปลี่ยนเอง ซึ่งไม่สะดวกจริงๆ
เมนูการตั้งค่าอื่นๆ ก็ตามปกติ ธีมเป็นสีฟ้า ดูสะอาดตาดี อีกส่วนนึงก็คือเรื่องของการแปลข้อความ ยังไม่สมบูรณ์เท่าไหร่นัก ในแง่ของภาษาไทยนะ ถ้าใครถนัดใช้ภาษาอังกฤษไม่มีปัญหาใดๆ
พื้นที่ระบบกินไปประมาณ 12.33GB ดังนั้น พื้นที่ที่เหลือใช้งานจริงๆ ก็ประมาณ 50GB นิดๆ ได้ผมว่าเหลือๆ ล่ะ ใส่เมมเพิ่มได้อีกต่างหาก ส่วนเมมโมรี่ ก็โดนกันไป 500 MB ไม่แน่ใจว่าเอาไว้รันระบบหรือส่วนใด ที่เหลือก็แบ่งใช้งานตามแอพที่เปิดนั่นล่ะครับ
มีโมชั่น ที่เอาไว้ใช้งานโทรศัพท์ต่างๆ นิดหน่อย เป็นฟีเจอร์เบสิคพื้นฐาน ไม่ได้ exclusive อะไร มีเอาไว้สำหรับใครที่ติดการใช้งานโมชั่นเหล่านี้ หรือจะหัดใช้ก็ได้นะ ส่วนตัวผมใช้งานตามปกติไม่ค่อยได้ใช้โมชั่นพวกนี้เลย
เรื่องของหน้าจอ สามารถปรับแต่งอุณหภูมิสีได้ ทั้งตัวกรองแสดงสีฟ้าและโทนสีอุ่นหรือเย็น อันนี้ก็ช่วยถนอมสายตาได้ในระดับนึง
เรื่องเสียงที่มีระบบ Dolby Atmos แบบว่ามีปรับแต่งได้นิดหน่อยเท่านั้น เสียดายที่ไม่มีการปรับแต่งเพิ่มเติม เพราะบางครั้งเสียงที่ตั้งมาอาจจะยังไม่โดนใจ
สามารถปรับแต่ง navigation key ได้นิดหน่อย แต่ยังไม่ได้แปลเป็นภาษาไทย อย่างที่บอกครับว่ายังไม่ครบถ้วนสักเท่าไหร่ ไม่ได้เก็บรายละเอียดเรื่องภาษาไทย และการสำรองข้อมูลผ่าน Nokia Cloud อันนี้ก็ยังไม่มี ทั้งๆ ที่เป็นเทรนด์ในยุคนี้ ซึ่งเชื่อว่าในเวอร์ชั่น Global ควรจะมีล่ะนะ เนื่องจาก Nokia 6 มีขายเฉพาะในจีนเท่านั้น จึงมีเท่านี้เลย ส่วนรหัสรุ่นคือ TA-1000 นั่นเอง
มาดูเรื่องกล้องและตัวอย่างภาพถ่าย
เมนูหลักๆ ของกล้องไม่ได้มีอะไรมากครับ มีแค่โหมดถ่ายภาพปกติ พาโนราม่า และ ทัชอัพ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่จริงๆ แล้วคือ โหมดหน้าสวย หรือหน้าเนียนนั่นเอง และสามารถเปิดเข็มทิศในโหมดกล้องได้เอาไว้ใช้หาทิศที่ถูกต้อง อาจจะใช้กับบางลักษณะงานล่ะนะ หรือในจีนเขาเอาไว้เป็นเครื่องมือในการดูฮวงจุ้ยก็อาจจะเป็นไปได้ และมี HDR ที่สามารถเปิดใช้งานได้เลย
กล้องด้านหน้า ที่มีแค่โหมดทัชอัพ โดยที่น่าแปลก ตรงระดับความเนียน ปรับเป็นตัวเลขถึง 20 เท่านั้น แบ่งช่วงเป็นช่วงละ 5 ปกติเคยเจอแต่เป็น % หรือไม่ก็ 0-10 อะไรแบบนี้มากกว่า
ส่วนวีดีโอ มีเรื่องของการถ่ายวีดีโอแบบเร็วและแบบช้า หรือสโลโมชั่นนั่นล่ะครับ ซึ่ง Nokia 6 ใช้เป็นลักษณะของตัวคูณหรือตัวหาร อันนี้ก็แปลกอีกหนึ่งอย่าง
อีกส่วนนึงคือ เปิดเข็มทิศ แสดงระดับต่างๆ ได้แล้ว ยังมีโหมดลายน้ำด้วยนะ และโหมดลายน้ำคือสามารถบันทึกได้ทั้งแบบปกติและมีลายน้ำ ซึ่งตรงนี้ผมว่าดี หากจะใช้ภาพไปทำอย่างอื่นต่อ ก็ทำได้เลยไม่ต้องไปหาวิธีตัดลายน้ำออกให้ยุ่งยาก และบางทีก็ไม่รู้ว่าซูมได้ เพราะไม่ได้แสดงเมนูออกมา อาจจะกดเลือกแสดงเสมอ เพื่อความสะดวกก็ได้นะ
กล้องด้านหลังและด้านหน้า สามารถปรับอัตราส่วนภาพได้ตามปกติ โดยหากอยากได้อัตราส่วน 16:9 ความละเอียดก็จะลดลงตามสัดส่วน
การถ่ายวีดีโอ สามารถใช้งานแบบ Full HD ได้เลยทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ถือว่าดี และการใช้งานโหมดถ่ายวีดีโอแบบเร็วและแบบช้า ก็ขึ้นอยู่กับความละเอียดของวีดีโอด้วย เช่นเปิดโหมดถ่ายวีดีโอภาพเคลื่อนไหวช้า ก็จะรองรับที่ความละเอียด 480p เท่านั้น และแนะนำว่าต้องใช้ขาตั้งกล้องด้วย
สุดท้ายเราสามารถเรียกใช้งานกล้องได้ที่ lock screen และสามารถเปลี่ยนโทนสีของไอคอนในโหมดกล้องเป็นสีต่างๆ ได้ เป็นรายละเอียดเล็กๆ ที่ยังใส่ใจ ด้วยแฮะ
ตัวอย่างภาพถ่าย
และกล้องด้านหน้า
รีวิวฉบับวีดีโอ
สรุปทิ้งท้ายกันสักหน่อย
สำหรับคนที่ชื่นชอบ Nokia ก็อาจจะตัดสินใจไม่ยาก แต่ Nokia 6 ยังไม่ใช่อะไรที่น่าใช้งานที่สุด เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องการใช้งานหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะการใช้งานพื้นฐานที่ใช้งานร่วมกับ Google Service ทั้งหลาย โดยเฉพาะ Google Play แต่เรื่องดีไซน์และความสวยงาม ผมว่าโดนใจเลยล่ะ แต่อีกนิดนึงคือ UI ดูเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองดี แต่ไม่แจ่มพอล่ะนะ ฟีเจอร์ต่างๆ ที่ติดมาในเครื่องก็ยังขาดเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ว้าวๆ หน่อย หรือว่าคอนเซ็ปท์จะกลายเป็นเน้นการใช้งานพื้นฐานก็ไม่แน่ใจ ต้องดูเวอร์ชั่น global เพราะ Nokia 6 ยังมีข้อจำกัดในการหาซื้อ เพราะมีขายที่จีนเท่านั้น ในบ้านเราคงต้องเป็นเครื่องหิ้ว และการรับประกันและบริการหลังการขายก็แล้วแต่ร้านหิ้วเลย
ความรู้สึกที่ขาดหายไปก็คือ ความอึด ความถึก ความทน แทนที่ด้วยความพรีเมี่ยม ดูหรู สวยงามขึ้น ราคาค่าตัวไม่ได้แพงมากมายอะไรเมื่อเทียบกับสเปคและการใช้งานที่ลื่น และซอฟท์แวร์ตัวล่าสุดอย่าง Android 7.0 Nougat การใช้งานภาษาไทย จะมีก็คำแปลแปลกๆ และยังไม่ได้แปลอีกนิดหน่อยแค่นั้นเอง กล้องช้ตเตอร์ไวดี คุณภาพของกล้องก็สมน้ำสมเนื้อ ถ่ายกลางคืนผมว่าโอเคอยู่นะ อาจจะยังไม่ถึงกับดีที่สุด แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ส่วนฟีเจอร์กล้องไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจมากนัก แต่โดยรวมๆ แล้ว มีเสห่ห์เหลือเกิน ใครจะซื้อมาใช้งานก็ต้องรับให้ได้หลายจุดอยู่นะ
You must be logged in to post a comment.