❤`•.¸¸.•´´¯`••.¸¸.•´´¯`•´ 彡° สวัสดีวันศุกร์ Happy Friday ตอน มหากาพย์ Huawei ☆·.¸¸.·´¯`·.¸¸.¤ ~♡ (*^ー^)ノ

MATE 9

  กลายเป็นมหากาพย์เรื่องยาวเสียแล้ว กับประเด็นสอดใส้ Hardware ภายในของสมาร์ทโฟนจากค่ายหัวเว่ย ซึ่งผมขอสรุปไทม์ไลน์มาให้อ่านกันอีกรอบนะครับ

1. ในต่างประเทศมีการพบเรื่องความเร็วที่ไม่เท่ากันใน Huawei P10 ผ่านโปรแกรม AndroBench

2. Richard Yu ซีอีโอของทางหัวเว่ยออกมาโพสต์บน Weibo โดยยอมรับว่ามีการใช้ Hardware แบบคละจริง ทั้ง UFS 2.1, 2.0 และ eMMC

3. Huawei แอบตัดคำโฆษณา UFS 2.1 ของ Mate 9 ออกจากหน้าเว็บหลัก

4. ปัญหาลามมายัง Huawei Mate 9 ด้วย ทั้งเรื่อง Flash Memory และชนิดของ RAM ที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็น DDR3 (ซึ่งยังไม่มีวิธีพิสูจน์ที่แน่ชัด นอกจากการแกะเครื่อง)

5. ผู้ใช้งานในไทยรวมตัวจะไปฟ้องต่อ สคบ. (แต่ยกเลิกในท้ายที่สุด)

6. ผู้ใช้งานที่ประเทศจีนมีการแกะพิสูจน์ Mate 9 เพื่อเทียบเลข Part หลังจากที่ไม่สามารถยืนยันผ่านผลทดสอบเรื่องความเร็วที่แตกต่างกันได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้

หลังจากมีการเทสผลคะแนนความเร็วของ Mate 9 สองเครื่องพร้อม ๆ กันแล้วพบความแตกต่าง แต่เมื่อมีการแกะเครื่องพิสูจน์กลับพบว่า Flash Memory นั้นเป็นชนิด UFS 2.0 เหมือนกันทั้งคู่ แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือ ตัว Flash Memory นั้นมาจาก 2  ผู้ผลิต โดย UFS 2.0 ของซัมซุงจะให้ความเร็วที่เหนือกว่า UFS 2.0 จากค่ายโตชิบ้าพอสมควร ซึ่งเป็นเรื่องปรกติที่เราพบเห็นได้บ่อย ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็หน่วยความจำพวก SD Card นี่แหล่ะ ที่ถึงแม้จะมี Class เท่ากัน แต่ความเร็วของแต่ละยี่ห้อก็ต่างกันไปขึ้นกับเทคโนโลยีการผลิตของแต่ละค่ายนั่นเองครับ

สรุป ถ้าวัดกันด้วยเทคโนโลยีจริง ๆ แล้ว ตัว UFS 2.1 กับ 2.0 จะมีความเร็วที่ไม่แตกต่างกัน (แต่ถ้าเป็น eMMC จะต่างกันเยอะพอสมควร) แต่สิ่งที่ UFS 2.1 เหนือกว่าก็คือการซัพพอร์ตรองรับทางด้าน Security และเทคโนโลยีบางอย่างที่พัฒนาขึ้นมาจากตัว 2.0 ส่วนสิ่งที่ทำให้ผลทดสอบด้านความเร็วแตกต่างกันจริง ๆ ก็คือตัว Flash Memory นั้นผลิตโดยบริษัทไหนมากกว่า

มาถึงตรงนี้ ถ้าถามว่า Huawei ผิดไหม ตอบเลยว่าผิดเต็ม ๆ ทั้งในแง่จริยธรรม และด้านการบริหารจัดการครับ เอาเป็นว่าตั้งแต่เฮดอย่าง CEO ออกมาตอบแบบใช้ความรู้สึกของตัวเอง เราก็อย่าไปคาดหวังว่าจะได้รับอะไรดี ๆ จากหัวเว่ยประเทศไทย ซึ่งพิสูจน์มาแล้วหลังจากแถลงการณ์เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ผมเชื่อมั่นก็คือ แบรนด์หัวเว่ยในไทยจะเสียฐานลูกค้าไปเยอะมาก ๆ และอีกนานกว่าที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมา เพราะผู้บริโภคสมัยนี้เขาฉลาดเลือก ฉลาดใช้ และไม่ได้ถูกหลอกง่าย ๆ อีกต่อไปแล้วนั่นเองครับ


สำหรับอาทิตย์นี้คงต้องลากันไปแต่เพียงเท่านี้ แล้วพบกันใหม่ในวันศุกร์หน้าครับ

ติดตามข้อมูลข่าวสารของ PDAMobiz.com จากช่องทางต่างๆ คลิก ที่ลิงค์ด้านล่างได้เลยครับผม

      

Avatar  

มีความสุขตลอดวันศุกร์ครับ

๒๘. เมษายน. ๒๕๖๐   @wasan007

ถูกใจบทความนี้  1