วันนี้มาแกะกล่องเจ้า Xiaomi Mi 6 พร้อมพรีวิวตัวเครื่อง และความรู้สึกที่ได้จับครั้งแรก ถึงจะยังไม่ใช่เรือธงแต่ก็เป็นรุ่นที่มาพร้อมกับ Snapdragon 835 RAM 6GB ซึ่งต้องบอกว่ายังไม่สุด แต่ในปัจจุบันก็หาตัวเลือกในราคาระดับนี้ไม่ง่ายเช่นเดียวกัน แน่นอนเลยครับว่าเป็นร้านหิ้ว ราคาก็หากันอยู่ประมาณ 17,000 บาท ซึ่งช่วงนี้เองอาจจะราคาสูงไปสักนิดนึง หากใครไม่รีบ รออีกหน่อย เพราะตัวที่เพิ่งเข้ามาจะเป็นเวอร์ชั่นจีน ไม่มี Play Store ต้องลงเอาเอง รอ Global ROM ออกมาก่อนสบายใจกว่า แต่หากใครคันก็จัดกันไปเลยครับ
โดยงานนี้ มาพร้อมกล่องสีขาว ซึ่งเป็นโทนของ Xiaomi อยู่แล้ว จริงๆ ผมก็ใช้ Xiaomi มาหลายรุ่น แต่เน้นไปทางรุ่นเล็กเสียมากกว่า เพราะราคาประหยัด และสเปคใช้งานทั่วๆ ไปได้ แต่ปัจจุบันคอนเซ็ปท์ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เพราะรุ่นเล็กอย่าง Redmi 4X ก็ถือว่าแจ่มใช่ย่อย แต่ซีรีส์เดิมอย่าง Mi ก็พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงเวอร์ชั่นที่ 6 ซึ่งตรงกับการอัพ RAM มาให้ 6GB พอดิบพอดี ไม่รู้ว่เกี่ยวอะไรกับเลข 6 หรือเปล่านะ
สเปคอยู่ทางด้านหลัง บอกตรงๆ ว่าอ่านไม่ออกครับ รู้แค่ CPU RAM และก็ Storage เท่านั้น อื่นๆ คงต้องลองดู โดยเฉพาะเรื่อง 4G แต่ส่วนใหญ่ก็จะรองรับทุกเครือข่ายอยู่แล้วนะ
สเปคของ Xiaomi Mi 6 มีดังนี้
● ระบบปฏิบัติการ: Android OS, v7.1.1 (Nougat) พร้อม MIUI 8.2
● จอแสดงผล: ชนิด IPS ขนาด 5.15 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 1920 pixels
● หน่วยประมวลผล: Qualcomm Snapdragon 835 Octa-core 2.5 GHz
● หน่วยประมวลผลกราฟฟิค: Adreno 540
● หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง: 64GB ไม่รองรับหน่วยความจำภายนอก
● แรม: 6 GB
● การเชื่อมต่อ: 4G LTE:
● รองรับการใช้งานในระบบ 2 ซิมการ์ด nano SIM 2 Slot
● การเชื่อมต่อ: Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac,Dual-Band, Bluetooth V. 5.0 / USB Type-C
● กล้องหลักด้านหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f1/8, OIS 4 แกน phase detection autofocus, Dual LED Flash
● กล้องด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
● ขนาดตัวเครื่อง: 145.2 x 70.5 x 7.5 มิลลิเมตร
● น้ำหนัก: 168 กรัม
● แบตเตอรี่: Lithium-polymer 3,350 mAh
● สีที่มีวางจำหน่าย: สีดำ
● อื่นๆ : กันเปียกในระดับนึง
ราคาวางจำหน่าย ประมาณ 17,000 บาท
อุปกรณ์ในกล่อง มาตรฐานไหมไม่แน่ใจนะครับ มีเข็มจิ้มซิม มี Case ที่เป็น TPU อ่อนนุ่ม ไม่เป็นรอยกับเครื่องแน่ๆ แล้วก็มีสาย USB-Type C พร้อม USB-C to Audio Jack 3.5 mm. และ adapter quick charge และก็คู่มือเป็นภาษาจีน
โฉมหน้าของ USB-Type C to 3.5 mm” Audio Jack
ระบบชาร์จเร็วหรือ Quick Charge ที่อะแดปเตอร์คือ 3A นะ
หน้าจอขนาด 5.15 นิ้ว ทำไม ไม่ 5.2 นิ้วไปเลยนะ แต่เอาจริงๆ ก็ไม่ได้ต่างกันมาก จับถนัดมืออยู่แล้ว ขนาดหน้าจอสวยงามใช่ย่อย
สำหรับ Snapdragon 835 คงไม่ต้องมีข้อกังขา นอกจากต้องลองดูว่าความร้อนมีมากแค่ไหน แต่เชื่อว่า Mi 6 ทำได้ดี กล้องด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
ส่วนการสแกนนิ้วมาอยู่ที่ด้านหน้า ก็ต้องบอกว่าใช้งานสะดวกดีนะ
สีดำของ Xiaomi Mi 6 เป็นสีดำเงา หรือที่เรียกว่ากรอซซี่ คือแบบว่าเงาวับเลย กลัวว่าจะเป็นรอยง่ายเหมือนกัน ดีที่มีเคสแถมมาให้ แต่สีก็เลื่อมๆ ดูสวยดี
จุดเด่นก็คือกล้องคู่นี่ล่ะครับ จริงๆ ไม่ใช่รุ่นแรกของ Xiaomi หรอกแต่ว่างานนี้มาในเทรนด์กล้องคู่ที่พัฒนาเพิ่มขึ้น พร้อม Dual tone LED Flash ใครคว่ากล้อง Xiaomi Mi 6 ไม่เจ๋ง แล้วมาชมภาพตัวอย่างกันในรีวิวถัดไปนะ เดี๋ยวคงมีประชันกันมันส์
ด้านล่างนี่ชัดเจนว่า Xiaomi ทำในจีนนะครับ ไม่รู้ว่าจะมีโรงงานเพิ่มอีกไหม?
ด้านล่างไม่มีช่องเสียบหูฟังอีกต่อไป งานนี้สบายใจไหมล่ะ? คงมีปัญหาอยู่บ้าง ส่วนผมเองไม่ได้ใช้แบบมีสายมานาน ส่วนใหญ่ฟังผ่าน bluetooth เสียมากกว่า ส่วนพอร์ท USB Type-C ก็มาตรฐานล่ะครับ ความบางก็ได้ใจอยู่ จับไม่ลื่นมือนะ
ด้านบนตัวเครื่อง น่าจะเป็นอินฟราเรดนะ ซึ่งในรุ่นเล็กๆ ก็ใส่มาให้ อันนี้แจ่ม ใช้เป็นรีโมทในบ้าน ควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าได้สบาย
ปุ่มกดเป็นสีดำรับกับตัวเครื่อง มองผ่านๆ อาจจะไม่เห็นก็ได้นะ ส่วนเสารับสัญญาณจะพาดตรงด้านบนของตัวเครื่อง
แต่ละมุม โค้งมนอย่างลงตัว ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะงามขนาดนี้
อีกด้านก็มีแค่ที่ใส่ซิมเท่านั้น
ตัวถาดใส่ซิม รองรับ nano SIM 2 slot เลย ไม่มีที่เหลือเผื่อเอาไว้ให้ microSD Card นะ
ลองเทียบกับรุ่นน้องซะหน่อย คือดีไซน์ผมว่าดีคนละแบบ เจ้า Xiaomi Mi 6 นี่ มันน่าทะนุถนอมมากกว่า จริงๆ กลัวหล่นแล้วแตกจริงๆ
สำหรับ Xiaomi Mi 6 กับการแกะกล่องและพาชมรอบๆ ตัวเครื่องก็มีประมาณนี้ครับ เอาไว้ใช้งานสักพักแล้วจะมารีวิวเพิ่มเติมกันต่อ ว่ามีอะไรดี แรงแค่ไหน ยังไง แจ่มจริงหรือเปล่า ตอนนี้ก็ดูตัวเครื่องไปก่อน
ดีไซน์ฝาหลังที่สะท้อนกับแสงไฟ กับรอยนิ้วมือที่เลอะง่ายเสียจริง ดูเหมือนติดกันรอยที่ด้านหลังมายังไงยังงั้นเลยแฮะ
ชมวีดีโอแกะกล่องกันคร้าบ
เปิดหน้าจอทิ้งท้ายไว้อีกทีละกัน ส่วนของ MIUI คงไม่ต้องบอกแล้วล่ะมั้งว่า แจ่มยังไง แค่มีปัญหาที่ว่าไม่มี Google Play Store นั่นเอง อันนี้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับหลายๆ คน รวมถึงผมด้วย ไว้พามาดูเรื่องกล้องและซอฟท์แวร์ในตอนถัดไปพร้อมการใช้งานละกันนะครับ
ถูกใจบทความนี้ 3
You must be logged in to post a comment.