ในงาน WWDC 2017 ปีนี้ค่าย Apple จัดหนักกว่าปีที่ผ่านมา โดยมีทั้งการเปิดตัวของฝั่งอุปกรณ์รุ่นใหม่และการอัพเกรดรุ่นเดิม รวมไปถึงเปิดตัวในฝั่งของ Software OS หรือระบบปฏิบัติการอีกหลาย ๆ ตัวไม่ว่าจะเป็น iOS 11, watchOS 4, macOS และ tvOS 11 สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามชม Live ถ่ายทอดสดของงานเปิดตัว ผมขอนำไฮไลท์ที่น่าสนใจมาสรุปรวมแบบย่อ ๆ ให้อ่านกันง่าย ๆ ในแบบม้วนเดียวจบครับ
เริ่มจากฝั่ง Device ใหม่ที่มีการเปิดตัวภายในงาน DC 2017 ครั้งนี้
1. iPad Pro
Apple เปิดตัว iPad Pro ใหม่ 2 โมเดล โดย iPad Pro รุ่นหน้าจอ 12.9 นิ้วจะเป็นการอัพเกรดจากรุนเดิมของปี 2015 ส่วนรุ่นหน้าจอ 10.5 นิ้ว จะเป็นรุ่นที่มาแทน รุ่น 9.7 นิ้วของเมื่อปีที่ผ่านมา
สำหรับจุดเด่นและความเปลี่ยนแปลงของ New iPad Pro มีดังนี้
1.ในรุ่น 10.5 นิ้วยังคงมาในบอดี้เดิมของรุ่น 9.7 นิ้ว เพราะมีการออกแบบขอบจอที่แคบลงถึง 40% และมีน้ำหนักเพียง 1 ปอนด์เท่านั้น
2. จอแสดงผลอัพเกรดด้วยฟีเจอร์ True tone และ ProMotion ที่มีมุมมองกว้างขึ้นและให้เฉดสีดีขึ้นกว่าเดิม, ลดแสงสะท้อนแบบ ultralow, มีความสว่างถึง 600 nits และการสนับสนุนวิดีโอ HDR, รองรับอัตาราการรีเฟรชหน้าจอได้ถึง 120Hz (สามารถปรับลดอัตโนมัติเพื่อประหยัดพลังงาน) ทำงานร่วมกับ Apple Pencil ได้ดีขึ้นกว่าเดิม
3. Hardware ภายในขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ตตัวใหม่ A10X Fusion chip ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม 30% และประสิทธิภาพทางด้านการประมวลผลกราฟิคดีขึ้นกว่าเดิม 40% ด้านการจัดสรรพลังงาน Apple เคลมไว้ที่ 10 ชั่วโมง เท่ากับรุ่นเดิมครับ
4. กล้องอัพเกรดโดยยกคุณสมบัติทั้งหมดมาจาก iPhone 7
5. อุปกรณ์เสริมใหม่ USB-C to Lightning รองรับการชาร์จเร็ว
6. รองรับ full-size smart keyboard และการรองรับภาษาเพิ่มเป็น 30 ภาษา
7. ความจุเริ่มต้นของ iPad Pro เริ่มต้นที่ 64GB /256GB /512GB ราคาเริ่มต้น $649 วางจำหน่ายแล้วตั้งแต่วันนี้ เและพร้อมส่งมอบสินค้าได้ในช่วงสัปดาห์หน้า
2. HomePod
Apple เปิดตัว smart speaker รุ่นแรกขของทางค่ายในนาม HomePod ซึ่งรูปแบบจะมีความคล้ายคลึงกับ Amazon Echo และ Google Home นั่นเอง โดย HomePod มาในดีไซน์ที่ดูคล้าย ๆ Mac Pro ตัวลำโพงนั้นมีขนาดไม่ถึง 7 นิ้ว ด้านนอกออกแบบด้วยลวดลายตาข่ายแบบไร้รอยต่อ ส่วนด้านบนจะเป็นไฟแสดงสถานะของ Siri
Hardware ภายในของ HomePod มีลำโพงทวีตเตอร์ 7 ดอก , วูฟเฟอร์ขนาด 4 นิ้ว 1ดอก และไมโครโฟนรอบทิศทาง 6 ตัว ขับเคลื่อนด้วย A8 chip เหมือนใน iPhone 6 ตัวลำโพงจะไม่มีแบตเตอรี่ ต้องเสียบปลั๊กไฟไว้ตลอดเวลาที่ใช้งาน
คีย์ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
1. สามารถรับฟังคำสั่งได้ แม้ในขณะเปิดการเล่นเพลงอยู่ โดยใช้คุณสมบัติของไมค์รอบทิศทางที่ใส่มาให้ถึง 6 ตัว
2. ปรับคุณสมบัติการเล่นเพลงให้เหมาะสมกับพื้นที่จัดวางให้โดยอัตโนมัติ เช่นวางไว้กลางห้อง หรือวางไว้ใกล้ผนัง และหากมี HomePod มากกว่า 1 ตัวก็สามารถเรียนรู้ และทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ HomeKit ได้ไม่ต่างไปจากแบรนด์อื่น ๆ อีกทั้งยังมาพร้อมฟังก์ชั่นพื้นฐานของการสั่งงานด้วยเสียงอย่างครบถ้วน
4. เชื่อมต่อง่าย และมีความปลอดภัยสูง
5. HomePod เคาะราคาที่ $349 มี 2 สีให้เลือกใช้งาน คือสีขาวและเทา พร้อมเปิดขายภายในเดือนธันวาคมนี้ โดยเริ่มวางจำหน่ายในประเทศสหรัฐฯ, อังกฤษ, และออสเตรเลียเป็นลำดับแรก และตามด้วยประเทศอื่น ๆ ที่จะมีปรกาศตามมาในภายหลัง
3. iMac Pro, iMac, MacBook
iMac Pro นี่คือ iMac ที่ทรงพลังและสเปคจัดเต็มที่สุดของค่าย Apple ณ ตอนนี้
โดยมาพร้อมจอแสดงผลขนาด 27 นิ้ว ความละเอียดสูงระดับ 5K, CPU Intel Xeon 18 cores มีออฟชั่นเลือกได้ที่จะใช้ 10 cores หรือ 8 cores, กราฟิกการ์ดเกรดเวิร์คสเตชัน Radeon Vega มี VRAM ขนาด 16GB, RAM ชนิด ECC 128GB , และ SSD ขนาด 4TB (ความเร็ว3GB /s) มาพร้อม 10Gb Ethernet และ Thunderbolt 4 พอร์ต, UHS-II พอร์ต, กล้อง FaceTime ความละเอียด 1080p มีเฉพาะสี Space Grey เท่านั้น
iMac Pro มีกำหนดวางจำหน่ายในช่วงปลายปี 2560 ส่วนสนนราคาเริ่มต้นนั้นแรงไม่แพ้สเปคเลยครับ โดยเริ่มต้นที่ $5,000 หรือราว ๆ หนึ่งแสนเจ็ดหมื่นบาท
สำหรับ iMac มีอัดเกรดทางด้าน Hardware ใหม่ ๆ ทั้งจอแสดงผลและซีพียู/จีพียู
โดย iMac มีจอที่สว่างขึ้นถึง 43% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านั้น และรองรับการแสดงผลในระดับพันล้านสี ตัวซีพียูอัพเกรดเป็นรุ่นใหม่ Kaby Lake ตัวจีพียูในรุ่น 21.5 นิ้ว จะเป็น Intel Iris Plus Graphics 640 ส่วนรุ่นจอ 21.5 นิ้วความละเอียด 4K และ รุ่น 27 นิ้ว เลือกใช้การ์ดจอในตระกูล AMD Radeon Pro 5xx (21.5 นิ้วรองรับ VRAM สูงสุด 4GB / 27 นิ้ว รองรับ VRAM สูงสุด 8GB )
ในรุ่น 21.5 นิ้ว สามารถเพิ่มแรมได้สูงสุดที่ 32GB ส่วนในรุ่น 27 นิ้วสามารถเพิ่มได้ถึง 64GB
สำหรับ iMac ในรุ่น 21.5 นิ้ว มีราคาเริ่มต้นที่ $1,099
สำหรับ iMac ในรุ่น 27 นิ้ว มีราคาเริ่มต้นที่ $1,799
สำหรับ MacBook มีการอัพเกรดซีพียูมาเป็นเป็น Kaby Lake เหมือน iMac และยังมาพร้อมกับ SSD ที่มีความเร็วสูงขึ้นถึง 50%
โดย MacBook นั้นเคาะราคาเริ่มต้น $1,300 เท่าเดิม ส่วน MacBook Pro 13 ราคาเริ่มต้นมีการปรับลดลงมาเหลือ $1,299
4. iOS 11
iOS 11 มีการอัพเกรดความสามารถแบบยกเครื่องใหม่ เพิ่มฟีเจอร์และปรับปรุงของเดิมให้ดีขึ้นกว่าเดิม ขอสรุปสั้น ๆ เฉพาะไฮไลท์ที่น่าสนใจ
1. iMessages ปรับ UI เล็กน้อย เพื่อให้สามารถเรียกใช้งานได้ง่ายขึ้น เพิ่มฟีเจอร์ซิงค์ข้อมูลบนiCloud ได้แบบ Real time
2. Apple Pay รองรับการโอนเงินระหว่างบุคคลได้แล้ว โดยสามารถโอนผ่านทาง iMessages
3. Siri รองรับการแปลภาษาจากภาษาอังกฤษ ไปยังภาษา จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, อิตาลี, และอังกฤษ , สามารถสแดงผลการค้นหาได้หลายอย่างจากการค้นหาใน 1 ครั้ง, และใช้งานร่วมระหว่างอุปกรณ์ได้แล้ว
4. Control Center ออกแบบหน้าตา UI ใหม่ทั้งหมด รองรับการทำงานร่วมกับ 3D touch
5. Camera & Photos มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ High Efficieny Video Coding (HEVC) บีบอัดข้อมูลให้เล็กลง 2 เท่า แต่ยังคงคุณภาพไว้เท่าเดิมโดยไม่สูญเสียรายละะเอียด , ปรับปรุงประสิทธิภาพโดยรวม อาทิเช่นโหมด Portrait Mode, การถ่ายในที่แสงน้อย ระบบกันสั่น และ HDR เป็นต้น
สำหรับแอพ Photos จะมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ ๆ มากมาย ส่วนที่น่าสนใจก็คือ การเพิ่มเอฟเฟ็กต์ต่าง ๆ และสามารถจัดการกับ Live Photo ได้อย่างยืดหยุ่นขึ้น
6.Maps แสดงรายละเอียดภายในอาคาร และแสดงความเร็วสูงสุดที่สามารถใช้งานได้บนถนนในแต่ละพื้นที่
7. App Store ปรับ UI ใหม่ทั้งหมด มี 5 tap ประกอบไปด้วย Today, Games, Apps, Updates และ Search
8. Files แอพใหม่ที่ช่วยจัดการไฟล์ได้ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ รองรับระบบ Cloud และสามาใช้งานร่วมกับพวก third-party แอพ เช่น Google Drive, Dropbox, และ Microsoft SkyDrive
9. iPad ฟีเจอร์ ใน iOS 11 จะมีการออกแบบ Dock ใหม่สำหรับ iPad โดยมีหน้าตาที่คล้ายบบคลึงบน macOS นอกจากนี้ยังการปรับฟีเจอร์เดิมและเพิ่มของใหม่เข้ามา อีกหลายอย่าง อาทิเช่น App Switcher, Drag & Drop, Multi-Select, QuickType, ฯลฯ
สำหรับ iOS 11จะเปิดให้อัพเดตได้ราว ๆ เดือนกันยายนหรือหลังจากเปิดตัว New iPhone ล่าสุดของค่าย Apple ส่วนเวอร์ชั่น Beta สำหรับนักพัฒนาเปิดให้ทดสอบแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
5. watchOS 4
watchOS 4 มาพร้อมหน้าปัดแบบใหม่ และเน้นการทำงานร่วมกับ Siri มากยิ่งขึ้น เพิ่มฟีเจอร์ด้านออกกำลังกาย และสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ออกกำลังกายได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยร่วมมือกับบริษัทชื่อดังอย่าง Cybex, Matrix, TechnoGym, Schwinn, LifeFitness, StairMaster เพื่อให้รองรับและสามารถใช้งาน watchOS 4 ร่วมกับอุปกรณ์เครื่องออกกำลังกายได้ดียิ่งขึ้นในอนาคต นอกจากนี้สามารถดึงข้อมูลและติดตามกิจกรรมได้หลากหลายกิจกรรมไปพร้อม ๆ กัน สำหรับด้านการฟังเพลง ใน watchOS 4 รองรับการซิงค์เพลย์ลิสต์แบบอัตโนมัติ
6. macOS High Sierra
macOS High Sierra คือระบบปฏิบัติ macOS ล่าสุดที่เตรียมจะเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้ โดยมีคีย์ไฮไลท์หลักดังนี้
เปลี่ยนไฟล์ระบบหลัก จาก HFS filesystem มาเป็น Apple filesystem (APFS) ซึ่งมีจุดเด่นในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง รองรับการเข้ารหัสแบบ native รองรับการเข้ารหัส HEVC (H.265) สามารถสตรีมมิ่ง 4K ที่มีขนาดไฟล์เล็กลงจาก H.264 ถึง 40% มาพร้อม Metal 2 และ Thunderbolt 3 ที่รองรับการเชื่อมต่อกับ GPU ภายนอกได้ และรองรับ VR content
สำหรับแอพที่มาพร้อมกับตัว macOS มีการเพิ่มฟีเจอร์และความสามารถเพิ่มขึ้น อาทิเช่น แอพ Photos ที่เพิ่มเครื่องมือในการแก้ไขได้ละเอียดและยืดหยุ่นขึ้น และสามารถทำงานร่วมกับแอพภายนอกอย่าง Photoshop และ Pixelmator ได้โดยตรง ทั้งการเรียกใช้งานและการบันทึกไฟล์
แอพ Safari บน High Sierra ทาง Apple เคลมว่าเป็นเบราเซอร์ที่เร็วที่สุดในโลก โดยเมื่อเทียบกับ Chrome แล้ว Safari จะเร็วกว่าถึง 80% นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ autoplay blocking ที่ช่วยป้องกันหน้าเว็บเล่นวิดีโออัตโนมัติ และ Intelligent Tracking Prevention ที่จะไม่ได้เป็นการบล็อคโฆษณา แต่จะตรวจจับและป้องกันเครื่องมือติดตามบางตัวไม่ให้ทำงาน นอกจากนี้ยังปรับปรุงในส่วนของแอพเมลและเพิ่มเสียงใหม่ให้ Siri อีกด้วย
macOS High Sierra เวอร์ชั่นเบต้าเปิดให้นักพัฒนาได้ทดสอบแล้ว สำหรับผู้ใช้งาน macOS Sierra จะได้รับการอัพเกรดเป็น macOS High Sierra ในช้่วงปลายปีนี้ครับ
จริง ๆ แล้วยังมีอีกหลายอย่างที่เปิดตัวในงาน แต่ผมขอคัดมาเฉพาะส่วนที่น่าสนใจจริง ๆ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแหล่งอ้างอิงครับ
อ้างอิง https://goo.gl/DzZHf8 , https://goo.gl/ItNyrF , https://goo.gl/wz3cXB , https://goo.gl/oKYaQ0
You must be logged in to post a comment.