สิ้นสุดการรอคอยสำหรับแฟน ๆ ชาวไทย โดยวันนี้ HMD Global จัดงานแถลงข่าวเปิดตัว Nokia 8 ในไทยอย่างเป็นทางการ และพร้อมวางจำหน่ายในบ้านเราตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (29 ส.ค. 60) เป็นต้นไป ซึ่งทาง Nokia เคาะราคาค่าตัวของ Nokia 8 ออกมาเบา ๆ เพียง 19,500 บาทเท่านั้น และในช่วงที่รอเครื่องรีวิวอย่างเป็นทางการ วันนี้มารับชมพรีวิวเป็นการเรียกน้ำย่อยกันไปพลาง ๆ ก่อนนะครับ
สเปคเบื้องต้นของ Nokia 8
● จอแสดงผลชนิด IPS LCD, ขนาด 5.3 นิ้ว ความละเอียด QHD 1440 x 2560 พิกเซล (554ppi), ความสว่าง 700 nits กระจกกันรอย Gorilla Glass 5 ฟีเจอร์ Always On Display
● ซีพียู Snapdragon 835
● หน่วยประมวลผลกราฟิค Adreno 540
● แรม 4GB
● หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง 64GB รองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอกสูงสุดที่ 256GB
● (สี Polished Blue มีหน่วยความจำภายในตัวเครื่อง 128 GB, แรม 6 GB)
● กล้องหลังคู่ Dual Camera ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล (color + monochrome), 1.12µm , เลนส์ Zeiss, รูรับแสง f/2.0, ระบบกันสั่น OIS บนเลนส์ RGB , ระบบโฟกัส Laser , phase detection autofocus, แฟลชคู่ dual-LED flash, รองรับการบันทึกวีดีโอ 4K
● กล้องหน้า 13 ล้านพิกเซล, เลนส์ ZEISS , ออโต้โฟกัส, รูรับแสง f/2.0, เลนส์มุมกว้าง 78.4˚
● รองรับ 4G LTE Cat. 9, 3CA, 450Mbps DL/50Mbps UL
● WiFi 802.11 a/b/g/n/ac (MIMO), BT 5.0, GPS/AGPS+GLONASS+BDS, NFC (sharing) ANT+
● พอร์ต USB Type-C USB3.1 Gen 1 (5Gbps)
● ระบบปฏิบัติการ Android 7.1.1 (Nougat)
● แบตเตอรี่ความจุ 3090mAh รองรับฟีเจอร์ชาร์จไว Quick Charge 3.0
● ขนาดตัวเครื่อง 151.5 x 73.7 x 7.9 ม.ม.
● สี Tempered Blue, Polished Blue, Steel, Polished Copper
● ราคาวางจำหน่าย 19,500 บาท
Nokia 8 มาในดีไซน์ Metal Unibody ที่ออกแบบโดยเน้นความบางเบา มีการเล่น curve ไล่ระดับที่ดูสมดุลลงตัว คือไม่แข็งกระด้าง แต่ก็ไม่อ่อนช้อยจนเกินงาม
สำหรับตัววัสดุจะเป็น อะลูมิเนียมซีรีส์ 6000 ซึ่งมีความแข็งแกร่งทนทานและน้ำหนักเบา อีกทั้งยังใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง ทั้งการขึ้นเฟรมโครงสร้างแบบชิ้นเดียวรวมไปถึงการขัดเงาในแบบกระจก และรองรับการกันน้ำกันฝุ่นในระดับ IP54
ฟิลลิ่งในการจับถือต้องบอกว่าน่าประทับใจครับ ด้วยดีไซน์ที่มีความโค้งมนสอดรับเข้ากับสรีระของฝ่ามือ แถมตัวเครื่องยังมีน้ำหนักเบาอีกด้วย ในด้านงานประกอบนั้นก็เรียบร้อยแข็งแรงดีมาก ๆ ยังรักษามาตรฐานที่ดีของแบรนด์ไว้ได้อย่างเหนี่ยวแน่น
จอแสดงผลเป็นอีกหนึ่งจุดขายหลักของ Nokia 8 ครับ โดยมาพร้อมพาเนล IPS ขนาด 5.3 นิ้ว ความละเอียด QHD 1440 x 2560 พิกเซล (554ppi), เป็นจอสู้แสงที่สามารถใช้งานกลางแจ้งได้สบายมาก ๆ เพราะเคลือบโพลาไรซ์และมีความสว่างที่สูงถึง 700 nits สำหรับตัวกระจกเป็นแบบโค้ง 2.5D และปกป้องป้องกันด้วยกระจกกันรอย Gorilla Glass 5
ในส่วนของกล้องหน้าให้ความละเอียดมาเท่ากับกล้องหลังที่ 13 ล้านพิกเซล แถมยังใช้เลนส์จาก ZEISS อีกด้วย ฟีเจอร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจก็คือ มาพร้อมระบบออโต้โฟกัส / ค่ารูรับแสง f/2.0, เลนส์มุมกว้าง 78.4˚ ใช้ระบบแฟลชจากหน้าจอแสดงผล
ปุ่มโฮมจะเป็นแบบ Solid-State และมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือในตัว สำหรับปุ่มโฮมแบบ Solid-State คืออะไร อธิบายง่าย ๆ เป็นปุ่มโฮมแบบสัมผัส ที่ต่างจากปุ่มกดแบบเดิม ๆ ที่เวลากดแล้วจะยุบตัวลงไป หรือที่เรียกว่า Hard key button ซึ่งปุ่มโฮมแบบใหม่นี้จะช่วยยืดอายุการใช้งานให้สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้นกว่าเดิมนั่นเองครับ ส่วนปุ่ม Back และ Recent Apps จัดวางอยู่ด้านข้างปุ่มโฮม โดยทั้ง 2 ปุ่มมีไฟแบล็คไลท์มาให้ใช้งานด้วย
เลนส์คู่ของ Nokia 8 จะมีความละเอียดเท่ากันที่ 13 ล้านพิกเซล แบ่งเป็นเลนส์ที่ใช้รับภาพสี RGB 1 เลนส์ และรับภาพขาวดำ monochrome 1 เลนส์ มีพิกเซลไซส์ขนาด 1.12um ค่ารูรับแสง f/2.0 ระบบกันสั่นจะมีอยู่ในเลนส์รับภาพสีเท่านั้น สำหรับระบบโฟกัสจะเป็นแบบ laser & phase detection autofocus พร้อมไฟแฟลชคู่ dual tone รองรับการบันทึกวีดีโอ 4K
สรุปกล้องคู่ของ Nokia 8 จะมีฟีเจอร์ในสไตล์ที่คล้ายกับค่าย Huawei ครับ คือเป็นกล้องคู่ที่มีหลักการทำงานแบ่งเป็นรับภาพสีกับขาวดำ ซึ่งจะแตกต่างจาก iPhone 7 หรือ OnePlus 5 ที่ใช้เลนส์คู่แบบ เลนส์ Normal + เลนส์ทางยาวหรือ telephoto ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการซูม ส่วนฟีเจอร์ของเลนส์คู่แบบรับภาพสี+ขาวดำจะเด่นในเรื่องไวท์บาลาสน์ที่แม่นยำและการให้โทนสีสันของภาพที่สมจริงครับ
มาดูองค์ประกอบการจัดวางวเลย์เอาท์ส่วนอื่น ๆ กันต่อครับ
ด้านบนของตัวเครื่องจะมีเพียงช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. เท่านั้น
ส่วนด้านล่าง ไล่จากซ้ายไปขวาประกอบไปด้วย ไมค์สนทนา, พอร์ต USB -C, และลำโพงหลักของตัวเครื่อง
ฝั่งซ้ายจะเป็นที่อยู่ของช่องถาดซิมการ์ด + หน่วยความจำภายนอก โดยเป็นแบบไฮบริดสล็อต
ทางฝั่งขวาคือที่อยู่ของ ปุ่มเพิ่ม/ลดระดับเสียงและปุ่มพาวเวอร์
ลองเทียบสีให้ดูสักเล็กน้อยครับ แต่น่าเสียดายที่สี Polished Blue (สีน้ำเงินมันเงา) ไม่มีตัวเครื่องให้ถ่ายในงาน
ลองจับประกบกับมวยถูกคู่ (ในเรื่องกล้อง) อย่าง Huawei P10 Plus
เรื่องความบางเบา ตามสเปคนั้นสูสีครับ แต่ Nokia 8 ออกแบบโดยใช้การเล่น curve แบบไล่ระดับ จึงส่งผลให้ดูเหมือนว่าจะมีความเพรียวบางกว่า เมื่อมองในภาพรวม ๆ
ทางฝั่งระบบปฏิบัติการ เป็น Pure Android ซึ่งมีข้อดีคือไม่ต้องมีการปรับแต่งมากนัก ไม่มีฟีเจอร์รกรุงรังจุกจิกจนฉุดให้เครื่องหน่วง แถมมีข้อดีตรงที่สามารถรองรับการอัพเดตได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และทางโนเกียประกาศออกมาแล้วว่า Nokia 8 จะได้รับการอัพเดต Android 8 Oreo อย่างแน่นอน ทางฝั่งผู้ใช้งานก็สบายใจกันได้เลยครับ
ต่อกันด้วยจุดขายหลักก็คือเรื่องกล้องครับ
ตามที่ได้เกริ่นไปในตอนต้น Nokia 8 นั้นมาพร้อมกล้องเลนส์คู่ ที่ความละเอียดเท่ากัน13 ล้านพิกเซล โดยแบ่งเป็นเลนส์ที่ใช้รับภาพสี RGB 1 เลนส์ และรับภาพขาวดำ monochrome 1 เลนส์ ซึ่งจะมีจุดเด่นคือรองรับการถ่ายภาพขาวดำได้ดีและจะเด่นในเรื่องไวท์บาลานซ์ที่แม่นยำรวมไปถึงการไล่เฉดสีสันของภาพที่ให้ความสมจริงนั่นเองครับ
แต่ว่าในพรีวิวนี้ผมมีเวลาน้อยมาก จึงขอเน้นการถ่ายภาพปรกติเทียบกับภาพในโทนขาวดำมาให้ดูกันแบื้องต้น และรวมไปถึงฟีเจอร์ Bothie ที่ทางโนเกียชูเป็นจุดขายอยู่ในขณะนี้
ตัวฟีเจอร์ Bothie ไม่ใช่ของใหม่แต่อย่างใด จริง ๆ แล้วมันก็คือการถ่ายภาพพร้อม ๆ กันด้วยกล้องหน้าและกล้องหลัง ซึ่งบน Nokia 8 นั้นสามารถเลือกได้ว่าจะถ่ายเป็นภาพนิ่ง+ ภาพนิ่ง , ภาพนิ่ง+วีดีโอ หรือวีดีโอ+วีดีโอ เป็นต้น
โหมดการถ่ายที่เลือกได้ว่าจะถ่ายด้วยกล้องเลนส์คู่ หรือกล้องเลนส์เดียวโดยแยกเป็นเลนส์สี หรือขาวดำ ซึ่งก็ถือว่าเป็นความยืดหยุ่นที่แปลกดีเหมือนกัน เพราะเราไม่ได้เห็นในสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่น ๆ ที่ใช้กล้องเลนส์คู่เหมือน ๆ กันครับ
โหมดหน้าชัดหลังเบลอ หรือโหมดสร้างโบเก้บน Nokia 8 ก็มีมาให้ใช้งานเหมือนกันครับ โดยบน Nokia 8 จะใช้ชื่อว่าโหมด ไลฟ์โบเก้ โดยเราสามารถปรับการเบลอหรือละลายฉากหลังได้ทั้งก่อนการถ่าย หรือจะมาปรับในภาพหลังด้วยตัว Photo editer ก็ได้เช่นกันครับ
จากนี้ไปดูรูปถ่ายจากกล้อง Nokia 8 กันได้เลยครับ
ต่อกันด้วยโหมด Bothie จากน้องๆ พริตตี้ภายในงานครับ
โหมด Bothie ถ้าในสถาพแสงดี ๆ ถือว่าน่าประทับใจเลยครับ และโหมดนี้เรายังสามารถประยุกต์นำไปใช้งานได้อย่างยืดหยุ่นอีกด้วย
เปรีบเทียบระหว่างโหมดปรกติและโหมดขาวดำ
โหมดไลฟ์โบเก้ ที่ใช้ Software ในการประมวลผล ในภาคการใช้งานจริงก็ทำผลงานได้ดีระดับหนึ่งครับ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับองค์ประกอบของภาพรวมด้วยแหล่ะครับ เพราะข้อจำกัดยังไงก็เป็นการใช้ Software ในการขับเคลื่อน ซึ่งเราไม่สามารถปรับแต่งอะไรได้มากนัก
สรุปส่งท้าย หลังจากได้จับ ได้สัมผัสเครื่องจริงภายในงานวันนี้ ในด้านดีไซน์การออกแบบ รวมไปถึงฟิลลิ่งการจับถือพกพา ผมมีความประทับใจและให้สอบผ่านครับ แต่ทั้งนี้เป็นแค่การสัมผัสแบบเพียงผิวเผินเพียงไม่กี่ชั่วโมง บางฟีเจอร์ก็ยังไม่มีเวลาทดสอบหรือได้ลองใช้งานอย่างจริงจัง จะให้ฟันธงหรือสรุปออกมาแบบละเอียดคงทำไม่ได้ครับ เอาเป็นว่ารอติดตาม Full Review กันดีกว่า เพราะจะได้มีเวลาทดสอบแบบนาน ๆ และจัดเต็ม ซึ่งถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดคาดว่าทางเว็บจะได้เครื่องมารีวิวในเร็ว ๆ นี้ครับ
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ
You must be logged in to post a comment.