สิ้นสุดการรอคอยครับ กับงานใหญ่ประจำปีของทางค่าย Apple ซึ่งอย่างที่เรารู้ ๆ กันดีอยู่แล้ว หลังจากโดนบิ้วมาเป็นแรมเดือน นั่นก็คือการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ และรวมไปถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ภายในงานนี้อีกด้วย สำหรับคนที่ไม่ได้อดหลับอดนอนเพื่อติดตามข่าวการเปิดตัวในช่วงเที่ยงคืน ก็สามารถอ่านสรุปไฮไลท์จากบทความนี้ได้เลยครับผม
ผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่เปิดในงานก็คือ Apple Watch ซีรีย์ 3
Apple Watch 3 เป็นไปตามข่าวลือครับ คือรองรับ LTE โดยใช้ E-sim หรือ electronic SIM, ตัวชิปเซ็ตแรงขึ้นด้วย dual-core processor และชิป W2 ตัวใหม่ มีเซ็นเซอร์วัดความสูง ส่วนตัวเรือนยังมาในทรงเดิมและมีขนาดที่เท่ากับ Apple Watch 2 และใช้ร่วมกับสายเดิมได้ด้วย
ในด้านดีไซน์ของภาพรวมต้องบอกว่า ไม่มีความแตกต่างจากซีรีย์ 2 มากนัก ที่เพิ่มเข้ามาก็คือการฝังเสาอากาศลงในหน้าจอแสดงผล (ในรุ่นCellular) และปุ่มสีแดงบนเม็ดมะยมนั่น และสายลายใหม่นั่นเอง
Apple Watch 3 มีด้วยกัน 2 รุ่น โดยในรุ่นธรรมดา เคาะราคาที่ $329 (ประมาณ 10,900 บาท) และรุ่น Cellular ที่ $399 (ประมาณ 13,200 บาท) เริ่มพรีออเดอร์ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน และส่งมอบสินค้าได้ตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 60
ต่อกันด้วย Apple TV รุ่นใหม่ครับ
สำหรับไฮไลท์หลักของ Apple TV รุ่นใหม่ จะมาพร้อมกับความละเอียดที่สูงขึ้นเป็น 4K และรองรับฟีเจอร์การแสดงผลแบบ HDR อีกด้วย ทางฝั่งตัวชิปเซ็ตเป็น A10X ที่แรงขึ้น 2 เท่า โดยมาพร้อมกับ tvOS เวอร์ชั่นใหม่ รองรับเกมใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น และสามารถใช้ Siri remote ในการคอนโทรล
นอกจากนี้ Apple ยังจับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับค่ายหนังดังมากมาย เพื่อพลักดันคอนเทนต์ HDR และข่าวดีก็คือ ลูกค้า Apple สามารถซื้อหรือเช่าคอนเทนต์ 4K HDR ได้ในราคาเท่ากับคอนเทนต์ HD ปรกติ
ราคา Apple TV รุ่นมใหม่ สตาร์ทที่ $149 ในความจุ 32GB และรุ่น TV 4K ความจุ 32GB ที่ $179 และ 64GB $199 เริ่มพรีออเดอร์ 15 กันยายน และพร้อมวางจำหน่ายจริงในวันที่ 22 กันยายน 60
มาแล้ว iPhone 8
และมาแบบไม่พลิกโผเลยสักนิด ทั้งชื่อเรียกและดีไซน์รวมไปถึงภาพรวม ๆ
แล้วมีอะไรใหม่บ้าง ในด้านดีไซน์ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่วัสดุมีการเปลี่ยนฝาหลังจากอะลูมิเนียมมาเป็นกระจก และมีการพัฒนาการเคลือบสีในรูปแบบใหม่เพิ่มเข้ามา
ตัวจอแสดงผลยังคงมีขนาดเท่าเดิม โดย iPhone 8 มาพร้อมหน้าจอ 4.7 นิ้ว และ iPhone 8 Plus ที่ 5.5 นิ้ว
จอพัฒนาขึ้นมาอีกนิด ด้วย True Tone ดิสเพลย์ ที่สามารถปรับสีและอุณหภูมิให้เข้ากับสภาพแสงโดยรอบ
ลำโพงสเตอริโอ ที่มีคุณภาพของเสียงเบสดีขึ้นกว่า iPhone 7 ถึง 25%
ชิปเซ็ตตัวใหม่ A11 Bionic ที่มาตามข่าวลือเป๊ะ ๆ ด้วย 6 คอร์ แรงกว่า A10 อย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบแบบคอร์ต่อคอร์ ในส่วนของ GPU หรือชิปประมวลผลกราฟิคนั้นก็แรงขึ้นกว่าเดิมถึง 30% เลยทีเดียว
นอกจากนี้ ยังประมวลผลด้านการถ่ายภาพได้ดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย เช่นการจัดการนอยส์ การโฟกัสในที่แสงน้อยเป็นต้น
กล้องหลักด้านหลังของ iPhone 8 ให้ความละเอียดมาเท่าเดิม ที่เพิ่มเติมคือใช้เซ็นเซอร์ตัวใหม่ และมีกันสั่น OIS เป็นครั้งแรกอีกด้วยครับ
ส่วน iPhone 8 Plus ก็มาพร้อกล้องคู่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และเซ็นเซอร์ใหม่เช่นกัน โดยกล้องคู่ยังคงใช้หลักการเหมือนเดิม คือเป็นเลนส์ไวดและเลนเทเล ที่เน้นจุดขายในเรื่องโหมด Portrait หรือการถ่ายภาพบุคคลที่เน้นการละลายฉากหลังนั่นเอง
รอบนี้ยังมีไฮไลท์เรื่อง Portrait เป็นจุดขายเหมือนเดิม แต่พัฒนาให้เจ๋งขึ้นและมีชื่อเรียกใหม่ก็คือ Portrait Lighting ที่สามารถเน้นความลึกหรือความเบลอของฉากหลังได้ดีขึ้น รวมไปถึงการปรับสภาพแสงด้วย lighting effect ที่ถือว่าเป็นฟีเจอร์ใหม่บน iPhone 8 Plus
ด้านการถ่ายวีดีโอก็เจ๋งขึ้นด้วยการรองรับ ความละเอยีด 4K ที่เฟรมเรท 60fps ได้เป็นครั้งแรก
นอกจากนี้ยังรองรับ AR ที่ช่วยเพิ่มความสามารถของกล้องให้ทำงานได้อย่างชาญฉลาดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ฟีเจอร์ที่หลายคนรอกันมายานนานหลายปี ในที่สุด iPhone ก็รองรับการชาร์จแบบไร้สายได้เสียที โดยรองรับ QI มาตรฐาน ทำให้เราสามารถนำที่ชาร์จไร้สายที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดมาใช้กับ iPhone 8 / 8 Plus ได้เลย
สเปครวมไปถึงไฮไลท์หลัก ๆ ของ iPhone 8 / 8Plus ก็ประมาณนี้
iPhone 8 ราคาเริ่มต้นที่ $699 ในรุ่น 64Gb และ iPhone 8 Plus เคาะราคาเริ่มต้นที่ $799 สรุปราคาไม่หนีไปจากตอนเปิดตัว iPhone 7 มากนัก
สำหรับ iPhone 8 และ 8 Plus เริ่มพรีออเดอร์ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน และพร้อมวางจำหน่ายในวันที่ 22 กันยายน ศกนี้
ปิดท้ายกันไปด้วย iPhone X รุ่นฉลองครบรอบการถือกำเนิด iPhone ครบ 10 ปี และรุ่นนี้มีชื่อเรียกว่า ไอโฟนเท็นครับ
ด้านดีไซน์นั้นก็มาตามภาพหลุดเป๊ะ ๆ อีกเช่นกัน ส่วนสเปคจะมีความแตกต่างจาก iPhone 8 Plus อยู่พอประมาณครับ
กล้องหลังคู่แนวตั้งตามข่าวและภาพที่ที่เคยหลุดออกมา สำหรับตัววัสดุด้านหลังจะเป็นกระจก ส่วนขอบเฟรมเป็น stainless steel ครับ
กันน้ำกันฝุ่นเหมือน iPhone 8 / 8 Plus
และอีกหนึ่งไฮไลท์ที่รอคอยกันก็คือ จอแสดงผลที่เปลี่ยนพาเนลมาเป็น OLED เป็นที่เรียบร้อย
สำหรับiPhone X จะมาพร้อมกับจอแสดงผล Super Retina Display ความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซล ขนาด 5.8 นิ้ว
ไม่มีปุ่มโฮม ไม่มี Touch ID อีกต่อไป ในกรณีที่อยากกลับหน้าโฮมก็ใช้การปัดนิ้วจากขอบจอด้านล่างขึ้นไปด้านบน
ส่วนการเรียกใช้สิริ ให้กดจากปุ่มด้านข้างแทน
และการปลดล็อคตัวเครื่องจะใช้การสแกนใบหน้าแทนครับ
ซึ่ง Apple ค่อนข้างภูมิใจและบอกนี่คือเทคโนโลยีการปลดล็อคที่มีความไฮเทค แม่นยำปลอดภัยที่สุด ณ ตอนนี้
การใช้งานจริงไม่ต้องเป็นกังวล เพราะตัว Hardware และการประมวลบผลของ iPhone X นั้นถูกทดสอบมาเป็นอย่างดีแล้ว ตรงนี้มั่นใจได้ ทั้งเรื่องความเร็ว ความแม่นยำรวมไปถึงความปลอดภัยอีกด้วย
และอีกหนึ่งฟีเจอร์ตามข่าวลือก็คือ Animoji ที่จะช่วยสร้างความบันเทิงให้ผู้ใช้งาน iPhone X ได้ในแบบที่ไม่ซ้ำใคร
สำหรับกล้องหลังจะเหนือกว่า iPhone 8 Plus โดย iPhone X จะมีพิกเซลไซส์ขนาดใหญ่ ระบบกันสั่น OIS แบบคู่ทั้งสองเลนส์ และแฟลชแบบสามสีที่ให้ความสมจริงเป็นธรรมสชาติมากยิ่งขึ้น
กล้องหน้าก็จัดเต็มด้วยฟีเจอร์ Portrait mode selfies คราวนี้สู้กับแบรนด์จีนที่เป็นเจ้าตลาดได้สบาย ๆ
ชิปเซ็ตตัวใหม่ล่าสุด ไม่ต่างจาก iPhone 8/ 8 Plus ส่วนด้านการจัดสรรพลังงาน Apple เคลมว่าใช้งานได้นานกว่า iPhone 7 ประมาณ 2 ชั่วโมง
iPhone X รองรับทั้งฟีเจอร์ชาร์จไวและชาร์จไร้สาย
นอกจากนี้ Apple ยังมีอุปกรณ์ที่สามารถชาร์จไร้สายให้กับ iPhone X , Apple Watch 3 และ AirPods ไปพร้อม ๆ กัน ด้วยอุปกรณ์ที่มีชื่อว่า AirPower ซึ่งจะเปิดตัวในปีหน้า
iPhone X มาพร้อมความจุให้เลือกใช้งานที่ 64GB และ 256GB พร้อมเคาะราคาเริ่มต้นที่ $999 หรือประมาณ 33,000 บาท
เปิดให้พรีออเดอร์วันที่ 27 ตุลาคม และพร้อมวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 60 เป็นต้นไป
เก่าไป ใหม่มา ทางฝั่ง iPhone รุ่นเก่า ๆ ที่ยังมีวางจำหน่ายก็ปรับราคาลงมาตามธรรมเนียมของการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ของทุก ๆ ปีครับ
สำหรับบทความนี้ขอเป็นการบอกเล่าไฮไลท์ในภาพรวม ๆ นะครับ ทางด้านสเปคและรายละเอียดเพิ่มเติมจะ จะเขียนสรุปให้ในบทความถัดไปครับผม
อ้างอิง theverge https://goo.gl/nYAxod
You must be logged in to post a comment.