Asus Zenfone 4 Max Pro Edition สมาร์ทโฟนรุ่นเล็กสุดของ Zen Series ที่มีสเปคตัวเครื่องแรงพอระดับใช้งานในปัจจุบันและมีหน้าจอขนาดใหญ่ แบตยักษ์ ตอบโจทย์คนที่ไม่ต้องการชาร์จแบตระหว่างวัน นอกจากนี้ยังมีกล้องคู่ให้ซึ่งเป็นกล้องสองระยะ (Normal + Wide) ทำให้เราสามารถถ่ายภาพได้หลายมุมมองมากยิ่งขึ้น
Asus Zenfone 4 Max (ZC554KL) Specs
- หน้าจอ IPS LCD ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD
- Qualcomm Snapdragon 430 Octa core 1.4GHz Cortex-A53
- Ram 3GB
- หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง 32GB
- รองรับ Micro SD Card สูงสุด 256GB
- กล้องหลังคู่ 16 + 5 ล้านพิกเซล F2.0 พร้อมไฟแฟลช LED
- กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล F2.2 พร้อมไฟแฟลช LED
- LTE Cat4 (150/50Mbps)
- 2 ซิมการ์ด (Nano Sims)
- Wi-Fi 802.11 b/g/n, Wi-Fi Direct, hotspot
- Bluetooth 4.1
- FM Radio
- USB on the go
- Fingerprint Scanner
- แบตเตอรี่ขนาด 5,000mAh
- ขนาดตัวเครื่อง 154 x 76.9 x 8.9 มม.
- น้ำหนัก 181 กรัม
- Android 7.0 Nougat
- ราคา 7,990 บาท
- สีเทา, โรสโกลด์, ทอง
กล่องของ Zenfone 4 Max Pro Edition (ZC554KL) จะเป็นกล่องสีฟ้าแทนพร้อมหน้าตาตัวเครื่องแบบโชว์ด้านหลังเพื่อให้เห็นกล้องคู่ พร้อมแปะสติกเกอร์บอกจุดเด่นว่ากล้องหน้าหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล โดยในส่วนของกล้องหลังเป็นเลนส์ระยะ Normal กับ Wide
ด้านหลังบอกสเปคคร่าวๆ พร้อมบอกว่าในกล่องมีเคสให้ด้วย
เปิดกล่องออกมา อ้าว เครื่องไปไหนเนี่ย ทำไมเจอแต่คู่มือที่บอกสโลแกนใหม่คือ We love photo
จริงๆ ตัวเครื่องจะอยู่ใต้กล่องคู่มือนั่นเอง โดยจะถูกพลาสติกหุ้มไว้นั่นล่ะ
อุปกรณ์ในกล่องมีดังนี้
- ตัวเครื่อง Zenfone 4 Max Pro Edition
- เคสยางแบบใส
- USB OTG
- Small Talk พร้อมจุกเปลี่ยนหูฟัง
- Adapter
- สาย Micro USB
หูฟังที่แถมเป็นแบบ in-ears และจะมีมจุกยางไว้เปลี่ยนด้วย
ตัว Adapter จ่ายไฟ 5V 2A
ในกล่องแถมสาย USB OTG ไว้ต่อแฟลชไดร์ได้เลย
หน้าตาตัวเครื่องของ Zenfone 4 Max Pro Edition ยังคงละม้ายคล้ายรุ่นก่อนหน้านี้อยู่เหมือนกัน แต่ขอบจอดูบางลงทำให้ตัวเครื่องดูดีขึ้นอยู่บ้าง ส่วนหน้าจอใช้ IPS สีสันจึงเป็นธรรมชาติไม่สดเกินไป
กล้องหน้าจะถูกวางไว้ทางขวาของลำโพงสนทนา ส่วนไฟแฟลช LED อยู่ทางมุมขวาเลย
ด้านล่างหน้าจอเป็นปุ่มสัมผัสทั้งสามปุ่มเลย โดยเรียงคำสั่งเป็น Back, Home (Fingerprint Scanner), Recent Apps
ด้านบนมีช่องเสียบหุฟัง 3.5มม. และไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน
ด้านซ้ายมีช่องให้จิ้มถาดใส่ซิมออกมา
ถาดซิมไม่ไฮบงไฮบริดอะไรทั้งนั้น ใส่มันได้ทั้ง 2 ซิมและ Micro SD Card เลย
ด้านขวามีปุ่มเพิ่มลดเสียงและ Power อยู่ ตัวปุ่มทำมาแน่นดี กดแล้วไม่ก๊อกแก๊ก
ด้านล่างนี่ทำเอานึกถึงมือถือที่ใช้เลยแฮะ ฮ่าๆๆ มีลำโพงตัวเครื่องอยู่(ทางขวา) พร้อมช่องเสียบสายชาร์จ/ซิงค์ Micro USB ตรงกลาง
ตัวเครื่องที่ได้มารีวิวนี่จะเรียกสีอะไรดี ดำก็ไม่สุด มันเหมือนสีกรมเข้มๆ หน่อยมากกว่า โดยด้านหลังตัวเครื่องเป็นผิวสัมผัสแบบด้าน ทำให้เป็นรอยนิ้วมือยากหน่อย
กล้องด้านหลังสองตัวโดยตัวนึงเป็นระยะ Normal 16 ล้านพิกเซล อีกตัวเป็นระยะ Wide 5 ล้านพิกเซล
จับใส่เคสซะ เวลาถือไปไหนมาไหนจะได้สบายใจ เคสที่แถมมาหนาระดับนึง ทำให้เวลาจับเครื่องแล้วจะรู้สึกหนากว่าเดิมอีกหน่อย แต่เดิมเครื่องก็ไม่ได้บางมากอยู่แล้วนะ เพราะว่าแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 5,000mAh นี่แหละ
การใช้งานแม้จะบอกว่าตัวเครื่องหนาเพราะขนาดแบตเตอรี่ก้อนใหญ่ แต่สำหรับหน้าจอ 5.5 นิ้วนี่ถ้ามือใหญ่ยังไงก็ใช้งานมือเดียวถนัด แถมถ้ากลัวลื่นก็ใส่เคสซะก็ไม่ต้องกลัวลื่นหลุดมือแล้วล่ะ
Software
User Interface ของสมาร์ทโฟน Asus จะถูกครอบด้วย Zen UI ซึ่งจะใช้ Launcher และไอคอนที่ทำขึ้นมาเอง ส่วน Launcher นั้นการใช้งานเหมือนเดิมคือมีการแบ่งหน้า Home, App Drawer ไว้ และในส่วนของหน้าแถวแอปพลิเคชั่นสามารถเลือกได้ทั้งสองหน้า
ทั้งนี้ในส่วนของ App Drawer จะมีคำสั่ง Smart Group ซึ่งจะทำการจับแอปพลิเคชั่นประเภทเดียวกันเข้าไว้ในโฟลเดอร์ตามประเภท
สำหรับใครที่เบื่อ Theme เดิมๆ สามารถหาโหลด Theme หรือ Icon มาเปลี่ยนเอาได้
Notification Bar แบ่งเป็นแถบแจ้งเตือนต่างๆ และทางลัดในการเปิดปิดการเชื่อมต่อและการควบคุมเครื่องหลายๆ ส่วน ซึ่งสามารถปรับแก้ไขการวางตำแหน่งตามใจชอบได้
AppLock: ฟีเจอร์ที่เอาไว้ล็อคแอปพลิเคชั่นให้รอดพ้นจากมือผู้ไม่หวังดีซึ่งก่อนจะเข้าใช้งานแอปฯ จะต้องใส่รหัสหรืออาจตั้งเป็นสแกนลายนิ้วมือได้ เผื่อบางทีวางไว้บนโต๊ะแล้วเพื่อนแอบหยิบไปโพสต์เฟสบุ๊คเล่นก็ป้องกันงานเข้าได้ไม่รู้ตัวนะ ฮ่าๆ หรือใครแอบเก็บของลับอะไรไว้ทางนี้ก็ช่วยได้เช่นกัน
Easy mode: อันนี้เป็นเสมือนอีก Launcher นึงเลยที่ทำให้ตัวเครื่องเสมือนฟีเจอร์โฟนเลย ด้วยการแปลงไอคอนให้ใหญ่และตั้งเอาได้ว่าจะเอาแอพใดไว้ตรงไหน เหมาะสำหรับให้ผู้ใหญ่ใช้เพราะเลยจิ้มและปาด ไม่ซับซ้อนดี
Kids Mode: โหมดสำหรับเด็ก อันนี้ตรงตัวหากเปิดใช้ก็จะให้เราทำการตั้งค่าว่าจะให้ใช้งานแอปพลิเคชั่นตัวใดบ้าง รวมถึงสามารถตั้งได้ด้วยว่าขณะใช้โหมดเด็กอยู่จะให้สายเรียกเข้าสามารถโทรหาได้หรือไม่ หรืออาจกำหนดว่าให้เฉพาะรายชื่อที่อนุญาตเท่านั้นก็ได้ แน่นอนเพื่อความปลอดภัยการจะออกจากโหมดนี้จะต้องใส่ PIN หรือ Password ที่ตั้งเอาไว้ด้วย ทำให้หมดห่วงว่าเด็กจะออกจากโหมดดังกล่าวเองได้ นอกจากจะเดาถูกอ่ะ
ZenMotion: การใช้การเคลื่อนไหวต่างๆ แทนคำสั่งทั้งหลายในนี้จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนดังนี้
- Touch Gesture: มีให้มาด้วยแน่นอนซึ่งเป็นการจับความเคลื่อนไหวต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น หากหน้าจอดับอยู่ เราก็สามารถเคาะหน้าจอสองครั้งเพื่อให้หน้าจอติดขึ้นมาได้ หรือจะเคาะหน้าจอสองครั้งเพื่อปิดหน้าจอก็ทำได้ครับ (แต่ต้องอยู่ที่หน้าโฮมนะ) รวมถึงยังมี Gesture หลายๆ อย่างอีกที่ใช้ ณ ตอนหน้าจอดับโดยการเขียนตัวอักษรอีกดังนี้
– C เพื่อเปิดกล้องถ่ายรูป
– W เพื่อเปิดเว็บบราวเซอร์
– S เพื่อเปิดกล้องถ่ายรูป (กล้องหน้า)
– e เพื่อเปิดอีเมล
– Z เพื่อเปิด Asus Boost
– V เพื่อเปิดหน้าโทรออก - Motion Gesture: มีแค่สองคำสั่งคือ Flip mute หรือคว่ำหน้าจอให้เสียงเรียกเข้าเงียบและ Hands Up คือเมื่อมีสายเรียกเข้าให้เอาโทรศัพท์มาแนบหูจะเป็นการรับสายทันที
- One-handed mode: คนมือเล็กอาจใช้งานมือเดียวไม่ค่อยสะดวกจึงได้ใส่ฟีเจอร์ One Hand Mode มาให้ด้วยเพื่อทำการย่อหน้าจอลงมา จะได้ใช้งานด้วยมือข้างเดียวได้สะดวกมากยิ่งขึ้นครับ
PowerMaster: ตัวควบคุมการใช้พลังงานของเครื่อง ออกแบบมาได้ดี ใช้งานง่าย คือถ้าใครไม่ได้ใช้อะไรมากก็สามารถมาปรับ 2xlifespan เพื่อให้แบตเตอรี่อึดขึ้นได้ โดยลดการทำงานของตัวเครื่องให้อืดลงนั่นเอง กลับกันจะใช้งานตัวเครื่องให้เต็มประสิทธิภาพก็ทำได้เช่นกัน โดยเข้าไปเลือก Battery Modes แล้วปรับเป็น Performance (เดิมตัวเครื่องจะตั้งค่าที่ Normal สำหรับใช้งานทั่วไป) ซึ่งถ้าไม่ได้เล่นเกมส์ภาพโหดๆ กินสเปคหนักจัดก็ไม่ถึงขั้นต้องปรับไปเป็น Performance หรอก ทั้งนี้ผมลองปรับสู่ Performance Mode บอกเลยว่า ROV นี่เล่นได้สบายๆ เลย
นอกจากนั้นตัวเครื่องยังสามารถกลายร่างเป็น PowerBank เพื่อจ่ายไฟออกชาร์จให้แก่อุปกรณ์อื่นได้ด้วย
ทดสอบประสิทธิภาพตัวเครื่องผ่าน Benchmark ได้ผลดังนี้
- Antutu: 43842
- Geekbench4: Single-Core 661, Multi-Core 2519
- Quadrant Standard: 16105
- Multitouch: 10 จุด
กล้องถ่ายรูป
กล้องถ่ายรูปของ Asus Zenfone 4 Max Pro Edition เป็นกล้องคู่สองระยะคือ Normal (13 ล้าน) และ Wide (5 ล้าน) พร้อมไฟแฟลช LED โหมดการถ่ายรูปมีไม่มากแต่พอใช้งานคือ Auto, Beauty, Pro, Super Resolution (ถ่ายหลายรูปแล้วนำมาอัดรวมกันให้ขนาดภาพใหญ่ขึ้น), GIF, Panorama และ Time Lapse ทั้งนี้ตัวกล้องไม่สามารถตั้งค่า Auto HDR ได้ เวลาจะถ่ายรูปที่เจอสภาพแสงต่างกันเยอะแล้วต้องการเปิดส่วนที่เป็นเงามืดจะต้องเลืกเปิดปิดการใช้งาน HDR เอง
ส่วนโหมด Pro นั้นสามารถตั้งค่าการถ่ายรูปได้เฉพาะในส่วนของ White Balance, ISO, Speed Shutter (ต่ำสุด 1/4), EV และระยะโฟกัส ซึ่งส่วนมากไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่เพราะมันคือกล้องมือถือขอเน้นง่ายหยิบมาถ่ายด้วย Auto ดีกว่า
สำหรับตัวอย่างภาพถ่ายเช่นเคยว่าไม่ได้ตกแต่งใดๆ ทำแค่ย่อขนาดและใส่ลายน้ำเข้าไปเท่านั้น
ถ่ายย้อนแสงเบาๆ จากเลนส์ระยะปกติ กับแสงแดดตอนเช้าถือว่าเก็บรายละเอียดท้องฟ้าและส่วนมืดได้ดีเลยล่ะ
ถ้าเปิด HDR ก็จะเห็นรายละเอียดมากขึ้นกว่าเดิมอีก
ลองเปลี่ยนเป็นเลนส์ Wide บ้าง จะเห็นว่ากว้างขึ้นมาเยอะ แต่ภาพในส่วนมืดนี่จะดำไปเลย มองไม่เห็นรายละเอียดเท่าไหร่
ซึ่งถ้าเปิด HDR ช่วยนี่จะเห็นว่าแตกต่างจากเดิมมาก
ถ่ายย้อนแสงก่อนตะวันตกดินด้วยเลนส์ปกติ สีสันออกมาดูดี ค่อนข้างคล้ายที่ตาเห็นอยู่
แต่พอย้อนแสงด้วยเลนส์ Wide ต่อจากกันเลย สีของภาพจะออกโทนฟ้าเหมือนว่าจับสีเพี้ยนไป เออแปลกดี
สำหรับภาพแสงน้อยหรือกลางคืนนั้นพอถ่ายได้แต่ชัตเตอร์จะช้า และภาพจะไม่คมเท่าไหร่นัก
ข้อดีของการมีเลนส์ Wide ก็คือถ้าเราอยู่ในจุดที่ถอยไม่ได้เนี่ย บางทีมันยังช่วยให้เราเก็บภาพทั้งหมดที่ต้องการได้ แต่เลนส์ Wide ตัวนี้มันกว้างจัดฉะนั้นภาพมันเลยโค้งๆ แบบนี้แหละ
ลองสภาพแสงในห้องนั่งเล่นกับหลอดไฟนีออนและแสงแดดส่องทางขวาเข้ามาบ้าง
กล้องหน้านี่สาวๆ น่าจะชอบ โดยเฉพาะในโหมดบิวตี้เพราะตั้งได้ว่าจะให้เครื่องเลือกอัตโนมัติหรือจะตั้งค่าความสวยเอง ไล่ตั้งแต่หน้าเนียน หน้าขาว ตาโต หน้าเรียว แบบสิบระดับ ซึ่งปรับได้ตามใจ โดยรวมทำได้ดี และไม่บิวตี้หลอกจนหน้าดูเหมือนคนละคน คือมันทำให้หน้าเนียนระดับที่ดูเป็นธรรมชาติอยู่
สรุป: Asus Zenfone 4 Max Pro Edition เป็นสมาร์ทโฟนที่ค่อนข้างครบเครื่องกล่าวคือการใช้งานทั่วไปทำได้ดี จากที่ใช้มาสองอาทิตย์ไม่พบปัญหาอะไร การเล่นเกมส์ไม่มีปัญหา (ทดสอบกับ ROV และ Linage2) มีกล้องคู่ติดมาให้ซึ่งได้สองระยะคือ Normal และ Wide เหมาะสำหรับคนที่ถ่ายภาพบ่อยๆ และอยากได้มุมมองกว้างขึ้น แต่มีข้อเสียของมันคือเลนส์ Wide มันเป็นเลนส์ที่ขนาดเล็กกว่า รายละเอียดภาพเลยจัดว่าไม่คมเท่าเลนส์ Normal ซึ่งถ้าจำเป็นจริงๆ ยังถือว่าเก็บภาพได้ดีกว่าไม่ได้ภาพ และสำหรับรุ่นนี้แบตเตอรี่นั้นอึดดีมากด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่และใช้ชิปเซ็ตที่ไม่ได้แรงมาก หมดกังวลเรื่องแบตหมดระหว่างวัน ถ้าไม่ติดเกมส์จริงๆ ยังไงก็รอดวันสบายๆ ทั้งนี้สเปคเครื่องถ้าเทียบกับรุ่นที่ราคาใกล้เคียงกันจะด้อยกว่ากันอยู่ ซึ่งคงต้องบอกว่ารุ่นนี้มันเหมาะกับคนที่ต้องการหน้าจอใหญ่ แบตอึด และได้กล้องคู่ไว้ถ่ายรูปมุมกว้างนั่นแหละ
You must be logged in to post a comment.