ดีแทคเปิดเผย 7 เทรนด์เทคโนโลยีแห่งปี 2561 โดยศูนย์วิจัยเทเลนอร์

20 ธันวาคม 2560 – ถ้าปี 2560 เป็นปีที่รถยนต์ไร้คนขับ, AI, Big Data และสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) เริ่มเป็นที่รู้จัก ปี 2561 ก็คงจะเป็นปีที่เทคโนโลยีเหล่านี้ได้ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในตลาด นี่คือความคิดเห็นของทีมนักวิทยาศาสตร์และนักวิเคราะห์ด้านเทคโนโลยีจากศูนย์วิจัยเทเลนอร์

 

 

 

นายลาร์ส นอร์ลิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า สิ่งที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ๆ มักจะมาจากข้อบังคับทางกฎหมาย หรือเมื่อความต้องการของลูกค้ากับเทคโนโลยีมาบรรจบกัน ตัวอย่างเช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่และรถยนต์ เป็นต้น ในปี 2561 เราจะได้เห็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในทุกด้าน โดยเราได้เลือกเทรนด์เทคโนโลยีที่คาดว่าจะมีความโดดเด่นและสำคัญในปีที่กำลังจะมาถึง” 

 

นอกเหนือจากเทรนด์เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค เช่น ระบบการจดจำใบหน้า บริการแบบออนดีมานด์ และภาพถ่าย 360 องศาแล้ว ยังมีอะไรที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของโลกเทคโนโลยีในในปี 2561 อีกบ้างทีมนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยด้านเทคโนโลยีจากสถาบันวิจัยเทเลนอร์ ได้เลือก เทรนด์เทคโนโลยีสำคัญที่กำลังก้าวเข้าสู่ชีวิตของพวกเรา

 

1: นิวส์ฟีดบนโซเชียลมีเดีย: ปฏิสัมพันธ์น้อยลง แต่ข่าวสารมากขึ้น

ทุกวันนี้ผู้ใช้งาน Facebook โพสต์เรื่องราวส่วนตัวน้อยลง ทำให้ปริมาณของเนื้อหาที่น่าสนใจลดน้อยลงไป สวนทางกับเนื้อหาของธุรกิจและโฆษณาที่ปรากฎบนหน้าฟีดของผู้ใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามความสนใจของแต่ละบุคคล ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ใช้งานเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะจำนวนของ “ข่าวสารปลอม” ที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ

บางทีผู้ใช้งานอาจกำลังมองหาแพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่ๆ ในการติดต่อสื่อสารและอัพเดตข้อมูลส่วนตัวกับเพื่อนและครอบครัว เนื่องจากเริ่มเบื่อหน่ายกับข้อมูลที่ไม่น่าสนใจบน Facebook” อย่างไรก็ตาม Facebook จะยังคงมุ่งพัฒนาสู่การเป็นแพลตฟอร์มสื่อสาร ผ่านทางแอปพลิเคชัน Messenger ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง และ Facebook Groups ในการติดต่อสื่อสารระดับกลุ่มย่อย

2: ผู้ใช้งานจะเริ่มอ่านข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้งานแอปพลิเคชัน

ภายในกลางปี 2561 กลุ่มสหภาพยุโรปจะผ่านร่างกฎหมายให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภค (GDPR) ฉบับใหม่ ซึ่งมีสาระสำคัญคือ ลูกค้าหรือผู้ใช้งานบริการดิจิทัลทุกคนมีสิทธิความเป็นเจ้าของของข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกสร้างขึ้นในระหว่างการใช้บริการนั้นๆ กฎข้อบังคับดังกล่าวจะช่วยปกป้องข้อมูลของพวกเราทุกคนในสหภาพยุโรป และยังเป็นการคืนสิทธิในการควบคุมการใช้งานข้อมูลส่วนตัวคืนแก่ผู้บริโภคอีกด้วย นอกจากนี้แล้วยังเป็นการเปลี่ยนขั้นตอนของบริษัทผู้ให้บริการในการขออนุญาตนำข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้ามาใช้

ข้อกำหนดและเงื่อนไขการใช้งานจะถูกร่างขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ผู้ใช้บริการทราบว่าข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขาจะถูกนำไปใช้งานเพื่อวัตถุประสงค์ใดบ้าง การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นสิ่งสำคัญ โดยในระยะแรก เราอาจจะเห็นข้อกำหนดและเงื่อนไขแตกต่างกันหลายชุด ซึ่งเราหวังว่าจะได้ฉบับที่ดีที่สุดในไม่ช้า ซึ่งข้อกำหนดและเงื่อนไขการใช้งานชุดใหม่ จะถูกใส่รวมเข้าไปในแอปพลิเคชันที่พวกคุณใช้งานอยู่ ซึ่งต่อไปพวกคุณจะต้องเริ่มอ่านมันได้แล้ว!

ยังไม่มีบทสรุปว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานในทวีปเอเชียอย่างไรบ้าง แต่เราคาดว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะส่งผลมาถึงเราในอีกไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปีนี้ บริษัทชั้นนำของโลก เช่น Google และ Facebook คงจะต้องการประกาศใช้ข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้งานชุดใหม่ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก

3: Artificial Intelligence และ Deep Learning บุกตลาด

ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) ทำให้เราได้พบกับนวัตกรรมที่เปรียบเสมือนมายากล เช่น รถยนต์ไร้คนขับและระบบจดจำใบหน้า แต่ที่ผ่านมา เทคโนโลยีชั้นสูงเหล่านี้เป็นได้แค่เพียงสิ่งที่สร้างความฮือฮาเท่านั้น เราเชื่อว่าในปี 2561 เทคโนโลยี Deep Learning จะถูกนำมาใช้งานจริงในตลาดวงกว้าง ไม่จำกัดอยู่แค่ในกลุ่มบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่อีกต่อไป” เทคโนโลยี Deep Learning สามารถถูกนำมาประยุกต์ในการใช้งานกับหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น สุขภาพ พลังงาน การขนส่งและโทรคมนาคม โดยผู้ที่จะประสบความสำเร็จได้จะต้องทุ่มเท มีความเข้าใจการนำไปใช้งาน มีข้อมูล ทักษะและความรู้ที่จำเป็น ส่วนความล้มเหลวมักจะเกิดจากการใช้งานที่ผิดวัตถุประสงค์ ความไม่สอดคล้องระหว่างความคาดหวังกับขีดความสามารถของ Deep Learning ระบบการจัดการข้อมูลที่ไม่พร้อม และท้ายที่สุดแล้ว ยังมีคนจำนวนมากคิดว่า Deep Learning เป็นเครื่องมือวิเศษที่สามารถแกะกล่องแล้วใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องพยายามเรียนรู้และเข้าใจแก่นแท้ของมัน


Deep Learning คืออะไร?

Deep Learning หรือการเรียนรู้เชิงลึก เป็นสาขาหนึ่งของ Machine Learning ที่มุ่งเน้นศึกษากระบวนการคิด ผ่านโมเดลขนาดใหญ่และข้อมูลจำนวนมหาศาล ซึ่งทำให้เราเข้าใกล้กับ AI มากขึ้น Deep Learning อยู่เบื้องหลังการค้นพบนวัตกรรมใหม่ๆ ในระบบอัตโนมัติต่างๆ เช่น การวิเคราะห์และประมวลผลภาพ ข้อความและคำพูด Deep Learning ใช้เครือข่ายใยประสาทเสมือน (Artificial Neural Network) ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากระบบประสาทในสมองของมนุษย์

 

4: Blockchain – ถึงเวลาก้าวข้ามระบบทางการเงิน?

ในปัจจุบันนี้ ปัญหาของ Blockchain เริ่มทวีความซับซ้อนมากขึ้น โดยในปีนี้เราอาจจะได้เห็นความพยายามในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Blockchain นอกเหนือจากระบบการเงิน เป็นที่รู้กันดีว่า Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง Bitcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ไม่ต้องการตัวกลางในการรับรองการทำธุรกรรม หนึ่งในจุดเด่นของBlockchain ก็คือ ข้อมูลที่ถูกบันทึกจะไม่สามารถถูกแก้ไขได้ ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือความยากในการนำไปประยุกต์ใช้งานจริง เพราะการที่จะสร้างโซลูชันที่หลากหลาย ด้วยเทคโนโลยี Blockchain ได้นั้น นักพัฒนาระบบจำเป็นที่จะต้องสามารถแก้ไข ปรับเปลี่ยน และอัพเกรดเทคโนโลยี รวมถึงการตัดสินใจเชิงวิศวกรรม

คาดการณ์ว่า “อุตสาหกรรม Blockchain จำเป็นที่จะต้องบรรลุข้อตกลงในเรื่องนี้ แต่ประเด็นก็คือ เทคโนโลยี Blockchain ทำให้สามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่จำเป็นต้องมีหน่วยงานหรือสถาบันตัวกลางมาควบคุมดูแล ทำให้เกิดสถานการณ์ที่เรียกกันว่า ‘Blockchain Governance Paradox’ ซึ่งทำให้ผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรม Blockchain ต้องร่วมกันแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้ เพื่อที่จะใช้ประโยชน์ของ Blockchain ได้อย่างเต็มที่ โดยปี 2561 จะมีการถกในประเด็นนี้อย่างร้อนแรง ซึ่งเราหวังว่าจะนำมาสู่ทางออกให้กับพวกเรา”

Blockchain คืออะไร?

Blockchain ไม่ใช่ Bitcoin – Blockchain คือการรวบรวมรายการจัดเก็บข้อมูลรูปแบบหนึ่ง ให้เป็น Blockเรียงต่อกันเป็นสาย ซึ่งจะถูกเข้ารหัสเพื่อรักษาความปลอดภัย ในแต่ละ Block จะมี Hash Pointer เป็นตัวเชื่อมโยงไปยัง Block ก่อนหน้า, Timestamp และข้อมูลธุรกรรม Blockchain ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการแก้ไขข้อมูล เทคโนโลยี Blockchain เป็นรากฐานของ Bitcoin โดยทำหน้าที่เป็นสมุดบัญชีสาธารณะสำหรับธุรกรรมทั้งหมด ส่วน Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลสกุลแรกที่ถูกสร้างขึ้น และเป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจสำหรับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Blockchain ในด้านอื่นๆ

 

5: 2561 โลกเสมือนและโลกจริงผสานเข้าด้วยกัน

เรารู้สึกเหมือน Pokémon Go เป็นสิ่งที่ผ่านมานานแล้ว และเทคโนโลยี Augmented Reality ก็พร้อมที่จะก้าวต่อไป แม้ว่าเราคงจะไม่ได้เห็นการเปิดตัวแว่น AR ของ Googleในอนาคตอันใกล้ แต่เราคาดการณ์ว่าจำนวนของแอปพลิเคชัน AR จะเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณในปี 2561” โดยในระบบปฏิบัติการล่าสุดของ iPhone มีฟังค์ชันบิวด์อินสนับสนุนการใช้งานโลกเสมือนซึ่งทำงานร่วมกับกล้องของโทรศัพท์ ซึ่งเป็นการลดความซับซ้อนในการพัฒนาโปรแกรมและเทคโนโลยี AR และเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่นักพัฒนาแอปพลิเคชันบนแพลตฟอร์ม iOS หลายแสนราย เราคาดว่าจะมีแอปพลิเคชันนำทางที่ใช้กล้องและการทับซ้อนภาพบนเส้นทางการเดินทางของผู้ใช้งาน รวมไปถึงเกมส์อื่นๆ ที่นอกเหนือไปจาก Pokémon Go พร้อมให้โหลดใช้งานจากแอปสโตร์

6: โอลิมปิกฤดูหนาวและ Virtualization เปิดประตูสู่ 5G

เทคโนโลยีเครือข่าย 5G จะถูกนำมาเปิดตัวใช้งานเป็นครั้งแรกในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่จะถูกจัดขึ้นที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ นอกจากการได้เห็นการพัฒนาและการทดสอบคุณสมบัติทางเทคนิคขั้นสูง เรายังหวังที่จะได้เห็นการนำเอาเทคโนโลยี 5G มาประยุกต์ใช้งานจริง ยกตัวอย่างเช่น อาจมีการใช้โดรนที่ควบคุมผ่านสัญญาณ5G ในการบินติดตามนักสกีกระโดด เพื่อเก็บภาพทิวทัศน์ของเนินเขาจากจุดต่างๆ การเปิดตัวของ 5G จะเป็นการเปิดโอกาสให้กับอุตสาหกรรมต่างๆ ในการนำเอาเทคโนโลยี 5G เข้ามาใช้ รวมถึงการทดสอบประสิทธิภาพของ 5G ซึ่งปี 2561 จะเป็นปีแห่งประวัติศาสตร์แห่งการเปิดตัวของเทคโนโลยี 5G”

7: ถึงเวลาเลิกพก กระเป๋าเงิน?

ในปี 2561 อุปกรณ์มากมายหลายชนิดจะกลายเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการชำระเงิน เช่น กุญแจรถ ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ สมาร์ทโฟน รถยนต์ที่เชื่อมต่อกัน นาฬิกาสปอร์ต เป็นต้นAI และ IoT เป็นเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังบริการอัจฉริยะและบริการจำเพาะต่อบุคคลต่างๆ  ซึ่งช่วยให้ลูกค้าและบริษัทต่างๆ สามารถสร้างโซลูชันช่วยในการตัดสินใจทางการเงิน การบริหารจัดการความเสี่ยง และการลดต้นทุน เป็นต้น โดยในปี 2561 จะมีการเปิดตัวระบบการชำระเงินใหม่ๆ ทั่วโลก ในทวีปเอเชีย เราจะได้เห็นการเติบโตของธนาคารที่ใช้ระบบ IoT มากขึ้น ส่วนในยุโรปจะมีการเปิดตัวบริการชำระเงินแบบ Payment Service Directive 2 (PSD2) ซึ่งจะเปิดโอกาสให้องค์กรภายนอก เช่น ฟินเทคสตาร์ทอัพ ได้เข้าถึงข้อมูลของลูกค้าธนาคาร นี่คือการปูทางให้เกิด ‘Open Banking’ และนวัตกรรมใหม่ๆ ตลอดจนช่วยลดปัญหาในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงระบบนิเวศของการชำระเงินของผู้ให้บริการโทรคมนาคมในปัจจุบัน โดยการรักษาความปลอดภัยจะเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันการเจาะระบบผ่านทางอุปกรณ์ชำระเงินจากบรรดาอาชญากรไซเบอร์



ถูกใจบทความนี้  0