ผมว่าสมัยนี้น่าจะเรียกว่าเครื่องสุดคุ้มมีให้เลือกเพียบ และนี่เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่แบบว่า คือคุ้มค่าเงินจริงๆ กับราคาสเปคสูงสุดที่ 6,990 บาท ซึ่งบอกได้เลยว่า สเปคมาแบบนี้ ราคาแบบนี้ กระทั่งพี่น้องค่ายเดียวกัน อย่าง Redmi 5 Plus นี่คือไม่ต้องพูดถึงกันเลย ทั้งสเปค และกล้องที่ดีกว่า อย่างว่ามาทีหลัง และซีรีส์ Redmi Note จริงๆ แล้วราคาต้องขยับขึ้นไปจากตัว 5 Plus ซะหน่อย แต่มาชนกันเต็มๆ แบบนี้คือว่านะ เอาเป็นว่า แม้แต่ค่ายตัวเองยังไม่เลี้ยงไม่ต้องพูดถึงค่ายอื่น วันนี้มาจับใช้งานและรีวิวให้ติและชมละกันนะครับ
สำหรับ Xiaomi มีการทำตลาดในไทยอย่างชัดเจนมากขึ้น และดูท่าจะลุยเต็มตัวแล้ว ล่าสุดจับมือกับโอเปอเรเตอร์รายใหญ่อย่าง AIS เปิดตัว Redmi S2 ในราคาสุดคุ้ม รวมถึงเรื่องโฆษณาตามสถานที่ต่างๆ มากขึ้นคงเป็นแบรนด์ที่ตามบรรดาพี่น้อง เชื้อสายจีนเข้ามาไม่ว่าจะเป็น OPPO ตามมาด้วย Vivo และ Huawei และ Xiaomi ก็ตามมา ตัวล่าสุดอย่าง Redmi Note 5 เปิดตัวเมื่อประมาณเดือนที่แล้วนี่เอง ราคาเปิดมาก็มีทั้งสเปคที่เป็น 3GB+32GB และ 4GB+64GB ในราคาต่างกัน 1,000 บาท ซึ่งก็เป็นทางเลือกที่ดีอีกหนึ่งรุ่นที่ได้กล้องคู่ที่มีเทคโนโลยี A.I. ที่เป็นเทรนด์ในยุคนี้ติดตัวมาด้วย
มาดูสเปคกันก่อน
สเปคของเจ้า Xiaomi Redmi Note 5
CPU: ตัวประมวลผล Qualcomm® Snapdragon™ 636 1.8GHz max
GPU: Adreno 509
Memory: 3GB LPDDR4X + 32GB eMMC ใส่ microSD ได้ 128GB 4GB LPDDR4X
Display : 5.99 นิ้ว ความละเอียด 2160 x 1080 FHD, 403 PPI
Size : 158.6 มม.x 75.4 มม.x 8.05 มม. น้ำหนัก: 181 กรัม
Battery: 4000 mAh
Rear Camera: กล้องตัวแรก 12 ล้านพิกเซล 1.4μm, รูรับแสง f/1.9 กล้องตัวที่ 2 12 ล้านพิกเซล 1.12μm, รูรับแสง f/2.0
Front Camera: 13 ล้านพิกเซล 1.12μm, รูรับแสง f/2.0
Network: 4G, สองซิม nanoSIM + nanoSIM/microSD 2G:GSM 2/3/5/8, 3G:WCDMA 1/2/5/8 4G:TDD-LTE 40/41(120MHz), 4G:FDD-LTE 1/3/5
Connectivity: 801.12 a/b/g/n/ac, รองรับ 2.4/5GHz Wi-Fi / Wi-Fi Direct / Wi-Fi Display, บลูทูธ 5.0 / บลูทูธ HID
Sensor: อินฟราเรด, มาตรวัดความเร่ง, เซนเซอร์ Proximity, เซ็นเซอร์วัดระดับแสง, เซนเซอร์ไจโรสโคป, เข็มทิศอิเล็กทรอนิกส์, ฮอลล์เซนเซอร์(Hall effect )
GPS: GPS, AGPS, GLONASS, การวางตำแหน่ง BeiDou
OS: MIUI 9
ราคา : 5,990 และ 6,990 บาท
มาแกะกล่องกันต่อ
สำหรับ Redmi Note 5 เป็นซีรีส์ Note ที่มีหน้าจอใหญ่ แต่หลังๆ ก็ไม่รู้ว่า ซีรีส์ไหนใหญ่กว่าใครแล้วล่ะ เพราะหลายๆ ซีรีส์ก็มีหน้จอขนาด 5.9 นิ้ว และอัตราส่วน 18:9 กันหมดแล้ว แถมสเปคยังใกล้กันอีก เช่นซีรีส์ Plus และ Note นี่ยังแอบบงงว่า แยกยังไงเนี่ย
อุปกรณ์ที่ติดมาในกล่องให้มาครบตามสไตล์ Xiaomi ไม่มีหูฟังเช่นเคย
ตัวอะแดปเตอร์สำหรับชาร์จที่เค้าว่ากันว่าไม่ได้รองรับการชาร์จแบบเร็วทั้งที่สเปครับ
ตัวเคสที่เป็นลักษณะบางและยืดหยุ่นได้ดีมาก อันนี้แถมมาให้ในกล่องเลย
ดูตัวเครื่องกันบ้าง
สำหรับตัวเครื่องมีขนาดพอๆ กับ Xiaomi Redmi 5 Plus มากต่างกันนิดเดียวเอง วัสดุก็ไม่หนีกันมากนะ ผมว่าหลายคนก็น่าจะยังสงสัยล่ะครับว่า ออกมาเวลาใกล้กันไม่กี่เดือน และตอนนี้ถ้าจะเลือกก็แนะนำมาที่ Redmi Note 5 ตัวนี้เลย สเคปดีกว่าเห็นๆ ในราคาที่เท่ากัน หน้าจอ 5.99 นิ้วที่มีทั้งความละเอียดแบบ Full HD การแสดงผลที่เต็มตาเต็มใจมากกว่า รวมถึงการควบคุมที่มีการเปิดใช้งานแบบ Full Screen ได้ ทำให้การแสดงผลไม่มีปุ่ม softkey บนหน้าจอมากินพื้นที่ งานนี้ใช้งานได้เต็มตา เต็มอิ่มมากขึ้น
ตัว CPU ก็จัด Snapdragon มาให้ การใช้งานคือลื่นมาก ด้วย MIUI ที่ติดตัวมาทำได้ค่อนข้างดีอยู่แล้ว บวกกับ CPU ที่ทั้งประหยัดพลังงานและให้ประสิทธิภาพที่ดี ทำให้เจ้า Redmi Note 5 รุ่นนี้จัดเต็ม Snapdragon 636 ไม่ถือว่าแรง แต่ก็สามารถจัดการ การใช้งานทั่วไปได้หมด เล่นเกมก็พอไหวอยู่ แต่ต้องปรับในโหมดที่พอดีกับตัวเครื่อง ถ้าปรับโหมดความละเอียดสูงก็ไม่ไหวนะ
ที่ชอบอีกอย่างก็คงเป็นวัสดุ ที่ทั้งออกแบบมาในสไตล์ของตัวเองที่คุ้นตาและยิ่งไปกว่านั้น ยังแข็งแรงได้ใจอีกด้วย
ตัวเครื่องด้านบนยังมีอินฟราเรดมาให้ ที่เป็นจุดเด่นอย่างนึงของ Xiaomi เพราะเทคโนโลยีนี้ยังไม่ตายไปจากโลก มีไว้ก่อนเป็นดี
ส่วนด้านล่างยังขาดอยู่นิดหน่อยก็ตรงที่ยังไม่ได้เป็นพอร์ทแบบ USB-C แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาการใช้งานแต่อย่างใด แค่ไม่ใหม่สุดแค่นั้น
ตัวเครื่องบางในระดับนึง ยุคนี้ไม่แข่งกันเรื่องความบางอีกแล้วซึ่งเจ้า Redmi Note 5 บางที่ 8 มม. ไม่ได้ทำออกมาเอาบาง แต่ออกแบบขอบโค้งมนและแข็งแรงจับถนัดมือดี ปุ่มของตัวเครื่องยังคงเรียยงตัวกันเช่นเดิม ที่เห็นชัดเจนก็คงเป็นกล้องคู่ที่นูนขึ้นมาจากด้านหลังตัวเครื่อง
ขอบอีกด้านก็มีจะมีที่ใส่ซิม ที่รองรับซิมคู่
ซึ่งเจ้าซิมคู่นี่ล่ะครับ ที่ Xiaomi ยังคงเป็นแบบเทรนด์ส่วนใหญ่ ยังไม่รองรับเรื่องของการแยกซิมออกจาก microSD ดังนั้นก็ใช้กันไป พื้นที่ในตัวเครื่องคงพอระดับนึงอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีความดีนะ เพราะ 4G นี่ได้ทั้ง 2 ซิมพร้อมๆ กันสบาย แต่การใช้โทรก็จะลงมาที่ 3G หรือ 2G แทน
มาพูดถึงด้านหลังกันหน่อย มีสแกนลายนิ้วมือติดมาด้วย และกล้องคู่ที่ในช่วงหลัง ภาพถ่ายที่ออกมาดูดีขึ้น แม้ในเวลากลางคืนที่ยังทำออกมาได้ไม่ดี แต่เมื่อแสงพอภาพก็ถือว่าน่าประทับใจ
ซึ่งกล้องด้านหน้าเห็นแบบนี้ก็ได้มาไม่น้อยนะ 13 ล้านพิกเซล ซึ่งมี Beautify 4.0 ที่มี A.I. สุดฉลาดล้ำติดมาด้วยทำให้ภาพที่ออกมาแบบว่าแจ่มกว่าที่เคย ซึ่งกล้องในราคาระดับนี้ก็หาได้ไม่ง่ายนักนะ
ลองใส่เคสดู อันนี้เป็นอีกหนึ่งความลงตัวไม่หนามาก ป้องกันได้ดี และจับแล้วไม่รู้สึกหนากว่าเดิมมากนัก
ผมว่าสีดำพร้อมกับเคสดำ ใส่แล้วก็ดูสวยดีนะ
เรื่องของ Software ในเครื่อง
เอาจริงๆ ก็ยังคงเป็น MIUI มีแต่เรื่องของการปรับการใช้งานหน้าจอแบบ Full Screen ที่อาจจะต่างไป ฟีเจอร์อื่นๆ ก็ใกล้เคียงกันหมด กลับไปดู UI ส่วนใหญ่ ในรีวิวของ รีวิว Xiaomi Redmi 5 Plus หน้าจอใหญ่ดี สเปคโดน อีกทีได้นะครับ
มีโหมดปรับเลือกปุ่มเสมือน หรือโหมดเต็มจอได้เลย อันนี้เวลาใช้งานโหมดเต็มจอมี 3 อย่างก็คือ รูดจากตรงกลางล่างของหน้าจอขึ้นไปด้านบน เป็นการใส่คำสั่ง Home แต่ถ้ารูปจากด้านล่างขอบจอขึ้นไปด้านบนแล้วค้างไว้แป๊ปนึง จะเป็น Recent app และถ้าจะ Back ก็ให้รูดที่ขอบจอด้านซ้ายหรือด้านขวาเข้ามาที่กลางหน้าจอแค่นั้นเอง ง่ายๆ
ส่วนคะแนน benchmark ก็ดูเอาไว้อ้างอิง ใช้จริงๆ มันเร็วและตอบโจทย์ได้ก็จบครับ
โหมดถ่ายภาพและวีดีโอ ก็จัดให้ครบ มีโหมดวีดีโอสั้นๆ ให้เล่นด้วยนะ
วีดีโอก็มีให้ถ่ายแบบสโลโมชั่นหรือถ่ายแบบไทม์แลปส์ก็ได้ ดีในระดับนึง ฟีเจอร์คือครบแหล่ะ
โหมดหน้าสวย ก็ดูแล้วขาวเว่อร์ดี มีให้ปรับเล่นเพียบตามสไตล์
มาดูตัวอย่างภาพถ่ายกัน
ภาพทั้งหมดแก้ไขลดขนาดเท่านั้นนะครับ
เปรียบเทียบความเนียนในการเบลอด้านหลัง
ภาพกลางคืน
ภาพบุคคลทั้งกล้องด้านหน้าและด้านหลัง ผมว่าก็ใช้ได้อยู่นะ
สรุปผลการใช้งาน Xiaomi Redmi Note 5
ผมว่าหลายคนใช้งานมาเป็นเดือนแล้วก็น่าจะรู้สึกคล้ายๆ กันคือมันคุ้มค่า ดีไซน์ผมบอกเลยว่าก็ไม่ได้สวยโดนใจ แต่ผมชอบมากกว่า Redmi 5 Plus นะ ส่วนสเปคก็ไม่ได้แรงมากนัก แต่ตอบโจทย์การใช้งานทั่วๆ ไปได้ดี แต่ก็ถือว่าฆ่าตัวที่ออกมาก่อนหน้านี้ไม่นานอย่าง Redmi 5 Plus ให้หายไปได้ทันที ตัดสินใจเลือก Redmi Note 5 จะคุ้มค่ากว่า เรื่องกล้องที่จัดมาให้ 2 ตัว และกล้องด้านหน้าที่ดีกว่า ซึ่งแนะนำให้จัดแบบ 4GB+64GB จะคุ้มสุด แบตที่ไม่ต้องบอกเลยว่า 4000 mAh อึดแค่ไหน ได้วันนึงสบายๆ แต่อย่าไปเล่นเกมหนักล่ะ จริงๆ เรื่องกล้องก็ยังพอมีปัญหากวนใจเล็กๆ น้อยๆ และผมว่า A.I. ที่จัดมาให้ ยังไม่เก่งพอ บางจังหวะที่ลองบางทีก็ยังทำได้ไม่เนียนพอ ด้วยภาพรวมทั้งสเปคและราคาทำให้พวกข้อเสียเล็กๆ น้อยๆ โดนตีตกไป หรือมองข้ามไม่ยากครับ
ขอบคุณ Xiaomi Thailand ที่ให้ยืมเครื่องทดสอบ
You must be logged in to post a comment.