OPPO R17 Pro เป็นสมาร์ทโฟนส่งท้ายปี 2018 ที่ต้องบอกว่าครบเครื่องมาก ๆ ครับ ทั้งดีไซน์ที่โดดเด่นด้วยการแบ่งโทนสีออกเป็นสองฝั่ง และยังมาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบการชาร์จไว Super VOOC Flash Charge ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0 – 40% ได้ในเวลาเพียง 10 นาที รวมไปถึงกล้องหลัง 3 เลนส์ ที่เลือกใช้เทคโนโลยี TOF 3D camera เป็นครั้งแรกบนสมาร์ทโฟนอีกด้วย
สเปคเบื้องต้น OPPO R17 Pro
● จอแสดงผลชนิด AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2340 พิกเซล, อัตราส่วน 19.5:9, กระจกกันรอย Corning Gorilla Glass 6
● ซีพียู Qualcomm Snapdragon 710
● จีพียู Adreno 616
● แรม 8GB
● หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง 128GB ไม่รองรองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอก
● กล้องหลัง 3 เลนส์ 12 MP, f/1.5-2.4, 26mm (wide), 1/2.55″, 1.4µm, Dual Pixel PDAF, OIS 20 MP, f/2.6, AF, TOF 3D camera
● กล้องหน้า 25 MP, f/2.0, 20mm (ultrawide), 1/2.8″, 0.9µm
● รองรับ 3G/4G ทุกคลื่นความถี่ในไทย
● ระบบปฏิบัติการ ColorOS 5.2 Android 8.1 (Oreo)
● แบตเตอรี่ความจุ 3700mAh
● ขนาดตัวเครื่อง 157.6 x 74.6 x 7.9 ม.ม.
● น้ำหนัก 183 กรัม
● สี: Radiant Mist, Emerald Green
● ราคาวางจำหน่าย 24,990 บาท
Unboxing
กล่องแพ็กเกจมาในโทนสีน้ำเงินอมม่วงเป็นแบบลิ้นชักดึงออกจากด้านข้าง
อุปกรณ์ภายในกล่องที่ให้มาจะประกอบไปด้วย
- คู่มือการใช้งานฉบับย่อ
- เข็มจิ้มเปิดถาดซิม
- เคสซิลิโคน
- หูฟังสมอลทอร์ค พอร์ท Type-C
- อแดปเตอร์ SuperVOOC + สาย USB – Type-C
อแดปเตอร์ให้ OUTPUT มาที่ 5V -2A – 10V-5A
สำหรับเทคโนโลยี Super VOOC Flash Charge จะสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0 – 40% ได้ในเวลาเพียง 10 นาที ส่วนตัวแบตเตอรี่ภายในจะเป็นแบบ Bi-Cell Battery กล่าวคือแบต 1 ก้อน แต่มี 2 เซลล์อยู่ภายใน ซึ่งส่งผลทำให้ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Super VOOC Flash Charge ได้อย่างสมบูณณ์ลงตัวและมีความปลอดภัยสูง
OPPO R17 Pro มาพร้อมหน้าจอที่คมชัดและขนาดใหญ่เต็มตาถึง 6.4 นิ้ว แต่ตัวเครื่องนั้นไม่ได้ใหญ่จนรู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด เพราะด้วยดีไซน์จอแสดงผลไร้ขอบแบบหยดน้ำ (Water Drop Screen) ในอัตราส่วน 19.5:9 ทำให้มีพื้นที่การแสดงผลสูงถึง 91.5% อีกทั้ง OPPO R17 Pro ยังเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่เปิดตัวมาพร้อมกับหน้าจอกันรอยรุ่นใหม่ล่าสุด Gorilla Glass 6 ซึ่งแข็งแกร่งกว่าเดิมถึง 2 เท่า นอกจากนี้ OPPO R17 Pro ยังเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของทางค่ายที่มาพร้อมฟีเจอร์ In-Display Fingerprint Scanning หรือการฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ภายในจอแสดงผลอีกด้วย
ใน Notch หรือรอยบากรูปทรงหยดน้ำ จะเป็นที่อยู่ของกล้องหน้าความละเอียด 25 ล้านพิกเซล และเซ็นเซอร์ Ambient Light + Proximity ส่วนลำโพงสนทนาจะฝังอยู่ที่ขอบด้านบน
สำหรับกล้องหน้าจะมาพร้อมจุดเด่นด้วยเซ็นเซอร์รับภาพจากค่ายโซนี่ในรุ่น Sony IMX576 มีค่ารูรับแสงที่ f/2.0 พร้อมเทคโนโลยี AI Beauty ทีเป็นจุดขายหลักของทางค่าย OPPO
โดย AI Beauty บน OPPO R17 Pro สามารถวิเคราะห์ใบหน้าของผู้ใช้งาน พร้อมปรับแต่งภาพถ่ายให้ออกมาสวยงามกลมกลืนมีความเป็นธรรมชาติ
สี Radiant Mist
สี Emerald Green
งานออกแบบดีไซน์ของ OPPO R17 Pro ล้ำขึ้นไปอีกขั้นด้วย ถือว่าเป็นหนึ่งในไฮไลท์ที่น่าสนใจ โดยใช้โครงสร้างแบบ glass metal Unibody ผสานกระจกเข้ากับโครงสร้างขอบเฟรมโลหะ พร้อมไล้โทนเฉดโทนสีที่ไม่เหมือนใคร โดยสี Radiant Mist จะมีความโดดเด่นด้วยการแบ่งสีของตัวเครื่องออกเป็นสองฝั่ง โดยฝั่งหนึ่งใช้โทนสีม่วง และอีกฝั่งใช้โทนสีฟ้า ซึ่งตัวฝาหลังจะสะท้อนแสงออกมาเป็นรูปตัว S และเมื่อเราขยับตัวเครื่อง สีสันก็จะมีการไล่เฉดสีออกมาเป็นโทนสีเดียวเมื่อกระทบกับแสงในบางมุม ซึ่งถือว่าเป็นดีไซน์ที่แปลกตาและดูสวยงามไม่ซ้ำแบบใคร
ด้านบนมีไมค์บันทึกเสียง และตัดขอบด้วยเส้นรับสัญญาณเสาอากาศสีดำ พร้อมการออกแบบให้มีความโค้งเว้าเล่นระดับไปยังกึ่งกลางของขอบ ซึ่งดูสวยงามลงตัวดีมากครับ
ด้านล่างจะมีลำโพงหลัก ซึ่งให้สุ้มเสียงที่ดีเกิดคาด ทั้งความดังและมิติความใสเคลียร์ ถัดจากลำโพงจะเป็นไมค์สนทนา และพอร์ทชาร์จแบบ USB Type-C สุดท้ายจะเป็นช่องใส่ซิมการ์ด
ตัวถาดซิมเป็น Dual SIM แบบใส่ประกบหน้า/หลัง โดยรองรับ Nano SIM ทั้ง 2 ซิม และไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอก MicroSD Card ได้ แต่ด้วยความจุภายในตัวเครื่องที่ให้มาถึง 128GB ก็ทำสามารถให้ใช้งานได้สบาย ๆ ไม่รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด
ปุ่มพาวเวอร์จะอยู่ฝั่งขวามือของตัวเครื่อง ซึ่งโทนสีฝั่งนี้จะเป็นสีม่วง
ส่วนด้านซ้ายจะเป็นที่อยู่ของปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง และโทนสีฝั่งนี้จะเป็นสีฟ้า
กล้องหลัง 3 เลนส์รุ่นแรกของทางค่าย และมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองไม่ซ้ำแบบใคร โดยกล้องหลัง 3 เลนส์ของ OPPO จะเป็นการเลือกใส่เทคโนโลยี TOF 3D Camera มาแทนเลน์ขาวดำ หรือเลนส์ไวด์ที่หลาย ๆ ค่ายเลือกใช้งานเป็นเบสิค สำหรับกล้องหลัง 3 เลนส์ของ OPPO R17 Pro จะมีรายละเอียดดังนี้
กล้อง Triple Camera พร้อมไฟแฟลช Dual-LED และป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS (Optical Image Stabilization)
กล้องตัวแรกให้ความละเอียดมาที่ 12 ล้านพิกเซล และมาพร้อมกับเทคโนโลยีสลับค่ารูรับแสงอัตโนมัติ ( Smart Aperture ) ตามสภาพแวดล้อมของแสง โดยจะมีเลือกใช้ค่ารูรับแสงที่ F/1.5 และ F/2.4 ตามสภาพแวดล้อมของแสงในขณะนั้น เช่นในที่แสงน้อยจะใช้ค่ารูรับแสง F/1.5 เพื่อให้ภาพมีความสว่างขึ้น ส่วน F/2.4 จะใช้ในสภาพแสงปรกติ หรือในทีมีแสงเพียงพอ เพื่อให้ภาพมีความคมชัดและไม่สว่างจ้าจนเกินไป ส่วนเลนส์ตัวที่ 2 ให้ความละเอียดมาที่ 20 ล้านพิกเซล มีรูรับแสงขนาด F/2.6 สำหรับการถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ สุดท้ายกล้องตัวที่ 3 จะเป็นเทคโนโลยี TOF (Time Of Flight) ใช้สำหรับตรวจวัดระยะชัดตื้นชัดลึก พร้อมรองรับการสแกนวัตถุแบบ 3 มิติ สามารถอ่านรายละเอียดของเทคโนโลยี TOF 3D Camera ได้ที่นี่ >>> https://bit.ly/2SAUOCA
Software & Feature
OPPO R17 Pro เปิดตัวมาพร้อม Android 8.1.0 และครอบทับด้วย ColorOS Version 5.2 ส่วนฟีเจอร์เมนหลักต่าง ๆ แทบจะไม่แตกต่างไปจาก รุ่นพี่ไม่ว่าจะเป็น Find X, R15 Pro, F9 จึงขอละไว้ สามารถอ่านบยทความรีวิวเก่า ๆ ได้ที่นี่ OPPO Review
ไฮไลท์ที่น่าสนใจ
หน้าจอใหญ่เต็มตา รับชมคอนเทนต์ได้อย่างน่าประทับใจ
ด้วยความที่มาพร้อมหน้าจอใหญ่สะใจถึง 6.4 นิ้ว พร้อมออกแบบรอยบากในรูปทรงหยดน้ำ จึงทำให้ OPPO R17 Pro นั้นมีพื้นที่จอแสดงผลต่ออัตราส่วนของบอดี้สูงถึง 91.5% เลยทีเดียว อีกทั้งขอบข้างหน้าจอทั้งซ้ายและขวาก็บางเฉียบ ส่งผลให้การรับชมคอนเทนต์อย่าง Youtube หรือ Netflix ได้เต็มอรรถรสมากยิ่งขึ้น
Facial Unlock
ระบบ Facial Unlock สแกนใบหน้าที่รวดเร็วแม่นยำ และยังสามารถทำงานได้ดีแม้ในที่แสงน้อยมาก ๆ จากที่ได้สบสอบใช้งานจริง เมื่อเทียบกับหลาย ๆ แบรนด์ ระบบปลดล็อคด้วยใบหน้าของ OPPO R17 Pro ทำผลงานได้ไม่แพ้เรือธงของค่ายอื่น ๆ เลยครับ
อีกหนึ่งเทรนด์ของปีนี้ ก็คือ In-Display Fingerprint Scanning หรือการฝั่งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ในจอแสดงผล ซึ่งทางค่าย OPPO แม้จะปล่อยฟีเจอร์นี้ออกมาที่หลัง แต่ในภาคการใช้งานถือว่าสอบผ่านครับ ทั้งเรื่องความเร็วความแม่นยำ ร่วมถึงเอฟเฟกต์การแสดงผลในขณะทำการปลดล็อคก็ใส่มาให้อย่างครบถ้วน
ชาร์จเร็วขึ้นกว่าเดิมด้วย Super VOOC Flash Charge โดยสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0 – 40% ได้ในเวลาเพียง 10 นาที หลักการคือ ตัวแบตเตอรี่นั้นเป็นแบบ Bi-Cell คือมี 2 เซลล์อยู่ภายใน ทำให้การจ่ายไฟที่ 10V 5A สามารถแบ่งการจ่ายไฟไปยัง 2 เซลได้พร้อม ๆ กัน ทำให้การชาร์จเร็วขึ้นเป็นอีกเท่าตัว ส่วนเรื่องความปลอดภัยหายห่วงครับ มีการปกป้องตั้งแต่ระดับชิปเซ็ต จนไปถึงสายชาร์จและ อแดปเตอร์ ร่วมถึงผ่านการทดสอบระดับมาตรฐาน Global ผู้ใช้จึงสบายใจได้ ในเรื่องของความปลอดภัย
Benchmarks & Performance
มาพร้อมชิปเซ็ตตัวใหม่ ในซีรีส์ 7xx ซึ่งแน่นอนว่าเร็วแรงและมีประสิทธิภาพที่อัพเกรดขึ้นมาจากซีรีส์ 6xx อยู่แล้วครับ เรียกว่าประสิทธิภาพโดยรวมนั้นสูสีกับชิปเซ็ตตัว Top ของปีที่แล้ว การใช้งานทั่วไปมีความลื่นไหล และความแรงในระดับที่นำไปใช้งานทั่วไปได้แบบสบาย ๆ พวกเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ก็ให้มาอย่างครบถ้วน รวมไปถึงการที่มาพร้อม RAM ถึง 8GB ก็ช่วยในด้านความลื่นไหลเมื่อเล่นเกมได้เป็นอย่างดี สำหรับ GPS ในภาครับสัญญาณดาวเทียมนั้นมีความรวดเร็วแม่นยำในระดับที่ดีมากครับ
เล่น ROV ที่เฟรมเรทสูง ๆ ได้สมูท ลื่นไหลดีมาก
ส่วน PUBG ก็สามารถเล่นได้ในระดับความละเอียดสูงสุด
ฟีเจอร์ Game Space “การเร่งความเร็วเกม” ที่ช่วย optimization ให้เล่นเกมได้ไหลลื่นมากยิ่งขึ้น และยังมีฟังก์ชั่น ที่ช่วยจัดการด้านการแจ้งเตือน เช่นการปฏิเสทสาย หรือการรับสายผ่านทางแฮนด์ฟรีได้เป็นต้น ทำให้การเล่นเกมบน OPPO R17 Pro นั้นเป็นไปอย่างสมูทลื่นไหล
Camera & Sample
กล้องหลัง 3 เลนส์ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังจาก AI โดยรอบนี้พระเอกของงานก็คือ เทคโนโลยี Smart Aperture สลับค่ารูรับแสงอัตโนมัติ และ Ultra Night Mode ที่ถ่ายกลางคืนได้โหดโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้องแต่อย่างใด
นอกจากนี้ยัง AR Sticker ที่ช่วยเสริมความสนุกในการเซลฟี่ รวมถึงฟีเจอร์ Omoji ที่สามารถสร้างอีโมจิเคลื่อนไหวได้ จากใบหน้าของผู้ใช้งาน ซึ่งเราสามารถปรับแต่งอีโมจิของเราได้อย่างยืดหยุ่น เช่นเปลี่ยนทรงผม เสื้อผ้า เครื่องประดับเป็นต้น และยังสามารถบันทึกเป็นภาพนิ่ง หรือคลิปวิดีโอ พร้อมแชร์อวดเพื่อนทางทางโซเชี่ยลได้สะดวกง่ายดายอีกด้วย
ทดสอบกล้องหน้า 25 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมเทคโนโลยี AI Beauty
กล้องหน้ายังคงเป็นจุดแข็งของ OPPO เหมือนเช่นเคยครับ AI Beauty ไม่ทำให้ผิดหวังจริง ๆ ส่วน Portrait ก็ทำได้ดีเช่นกัน ทั้งการเก็บขอบและละลายฉากหลังได้ดูเป็นธรรมชาติ
หากอยากถ่ายเซลฟี่แบบมุมกว้าง เพื่อเก็บเพื่อนให้ครบทุกคนก็ไม่ยากครับ เลือกใช้โหมดพาโนของกล้องหน้า ก็จะได้ภาพมุมกว้างเหมือนกับรูปตัวอย่าง
ไฮไลท์ที่ถือว่าเป็นพระเอกของ OPPO R17 Pro ก็คือ Ultra Night Mode ที่สามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้อย่างน่ามหัศจรรย์ โดยฟีเจอร์นี้ขับเคลื่อนด้วย AI Ultra-clear Engine ที่ใช้เวลา 2- 4 วินาทีในการประมวลผลภาพถ่าย จากนั้นทำการปรับแต่งสภาพแสง และดึง Dynamic Range ออกมา ทำให้ภาพถ่ายกลางคืน มีความคมชัด สว่างใส และเก็บรายละเอียดได้ดียิ่งขึ้นจากโหมด Auto ซึ่งผู้ใช้งานไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้องหรือต้องมีความรู้ความชำนาญในการถ่ายภาพมาก่อน ก็สามารถถ่ายภาพกลางคืนได้สวยงาม ไม่แพ้มืออาชีพเลยครับ
ให้ภาพบอกเล่าเรื่องได้เป็นอย่างดี โหมด Ultra Night Mode ของ OPPO R17 Pro นั้นทำผลงานได้น่าประทับใจมาก ๆ ครับ
จากนี้ไปดูรูปจากกล้องหลังในสภาพแสงต่าง ๆ กันต่อได้เลยครับ
สรุป OPPO R17 Pro
เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับสมาร์ทโฟนซีรีส์ R ซึ่ง OPPO R17 Pro มาพร้อมความโดดเด่นทั้งเรื่องของดีไซน์ การไล่โทนเฉดสีแบบแบ่งครึ่ง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร รวมไปถึงระบบชาร์จเร็ว ที่นำหน้าคู่แข่งด้วย Super VOOC Flash Charge โดยสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0 – 40% ได้ในเวลาเพียง 10 นาที สำหรับกล้องเป็นพัฒนาการอีกขั้นจากค่าย OPPO ที่ทำผลงานได้ดีที่สุด นับตั้งแต่ OPPO ผลิตสมาร์ทโฟนออกมา ในภาพรวมต้องบอกว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่ครบเครื่องมาก ๆ ทั้งความสวยงาม เทคโนโลยีที่อัดแน่น และกล้องที่ทำผลงานได้น่าประทับใจ
ส่วนสิ่งที่ชวนให้ต้องพิจารณาก็คือ ราคาเปิดตัวนั้นดูจะแรงไปนิด เมื่อเทียบกับคู่แข่งในท้องตลาด แต่ทั้งนี้ผู้ใช้งานก็ยังมีทางเลือก ด้วยการซื้อแบบผูกแพ็กเกจร่วมกับค่ายโอเปอเรเตอร์ ซึ่งราคาแบบผูกโปรจัดว่าคุ้มเลยทีเดียว ใครที่เป็นแฟน OPPO อยู่แล้ว บอกเลยว่า OPPO R17 Pro นั้นเป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามครับ
You must be logged in to post a comment.