คูเปอร์ติโน, รัฐแคลิฟอร์เนีย — วันนี้ Apple ประกาศเปิดตัว iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ซึ่งเป็น iPhone ตระกูลใหม่ในระดับโปรที่มาพร้อมประสิทธิภาพอันล้ำหน้าสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุด เพราะมีทั้งจอภาพ Super Retina XDR ใหม่ ซึ่งเป็นจอภาพระดับโปรที่สว่างที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน iPhone รวมถึงชิพ A13 Bionic อันทรงพลังที่ออกแบบโดย Apple ซึ่งนอกจากจะมีประสิทธิภาพเหนือชั้นสำหรับงานทุกประเภทแล้ว ยังทำให้แบตเตอรี่ใช้งานได้นานขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จึงสามารถใช้งานได้ตลอดวันแบบสบายๆ ยิ่งกว่านั้นยังมีระบบสามกล้องใหม่ที่จะมอบประสบการณ์การใช้งานกล้องระดับโปรด้วยกล้องอัลตร้าไวด์, ไวด์ และเทเลโฟโต้ ทั้งยังถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยได้ดียิ่งกว่าเดิม และบันทึกวิดีโอที่มีคุณภาพสูงสุดในสมาร์ทโฟน ซึ่งเหมาะสำหรับการถ่ายวิดีโอแอ็คชั่น
iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มีให้เลือก 4 สีสันสุดโดดเด่น รวมถึงสีใหม่อย่างสีเขียวมิดไนท์กรีนที่สวยงาม และจะเปิดให้สั่งซื้อล่วงหน้าตั้งแต่วันศุกร์ที่ 13 กันยายนนี้ และวางจำหน่ายในร้านตั้งแต่วันศุกร์ที่ 20 กันยายนเป็นต้นไป
“iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max เป็นสมาร์ทโฟนที่ทรงพลังและล้ำหน้าที่สุดเท่าที่เราเคยสร้างมา เพราะอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำที่มือโปรสามารถใช้ทำงานต่างๆ ได้อย่างมั่นใจ หรือสำหรับใครก็ตามที่ต้องการอุปกรณ์ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่มือโปร” Phil Schiller ซึ่งเป็นรองประธานอาวุโสฝ่าย Worldwide Marketing ของ Apple กล่าว “iPhone 11 Pro มีระบบสามกล้องเป็นครั้งแรกใน iPhone และยังเป็นกล้องที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยสร้างมาอีกด้วย เพราะช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างสรรค์ผลงานหลากหลายได้ดังใจ และมีคุณสมบัติล้ำๆ ด้านการปรับแต่งรูปถ่ายและวิดีโอใน iOS 13 ให้ใช้งานด้วย ส่วนจอภาพ Super Retina XDR ก็เป็นจอภาพที่สว่างและล้ำหน้าที่สุดใน iPhone ในขณะที่ชิพ A13 Bionic ก็ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับสมาร์ทโฟนทั้งในด้านประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน”
iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ถ่ายวิดีโอคุณภาพสูงสุดในสมาร์ทโฟนและบันทึกวิดีโอระดับ 4K ที่สวยสดงดงามด้วยช่วงไดนามิกที่กว้างขึ้น พร้อมระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวในคุณภาพระดับภาพยนตร์
ดีไซน์และจอภาพระดับโปร
iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มีด้านหลังเป็นกระจกผิวด้าน พร้อมด้วยขอบสแตนเลสสตีลขัดเงา และมีให้เลือก 4 สีสันสุดโดดเด่น รวมถึงสีใหม่อย่างสีเขียวมิดไนท์กรีน ซึ่งนอกจาก iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max จะเป็นอุปกรณ์ที่ทรงพลังที่สุดแล้ว ยังออกแบบมาให้ทนทานอีกด้วย เพราะมาพร้อมกับกระจกที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟน และมีการป้องกันที่ระดับ IP68 จึงทนน้ำได้ลึกถึง 4 เมตร นาน 30 นาที และยังทนน้ำที่มักจะหกใส่ในชีวิตประจำวันอย่างกาแฟและน้ำอัดลมได้อีกด้วย1
จอภาพ Super Retina XDR ใหม่ใช้แผง OLED ที่ออกแบบขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อให้ผู้ใช้ได้เต็มอิ่มกับประสบการณ์การรับชมแบบ HDR ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์หรือวิดีโอความละเอียดสูงประเภทอื่นๆ ด้วยความสว่างสูงสุดถึง 1,200 นิต นอกจากนี้ Super Retina XDR ยังรองรับขอบเขตสีกว้าง และมาพร้อมการจัดการสีสันแบบทั้งระบบ รวมถึงการแสดงผลแบบ True Tone ที่จะมอบประสบการณ์ในการดูที่เป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีอัตราส่วนคอนทราสต์สูงถึง 2,000,000 ต่อ 1 พร้อมด้วยสีดำที่ดำสนิท จึงมั่นใจได้เลยว่ามือโปรจะต้องประทับใจกับประสบการณ์การรับชมที่สวยงามสมจริงยิ่งขึ้นเมื่อดูวิดีโอและรูปภาพแบบ HDR และที่สำคัญ Super Retina XDR ยังประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถโต้ตอบกับแอพที่ใช้บ่อยในแบบที่รวดเร็วลื่นไหลด้วยคุณสมบัติ “การแตะค้างแบบสั่น” หรือ Haptic Touch ที่ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับทุกส่วนของ iOS 13 ลูกค้าจึงมีทางลัดสำหรับใช้แอพทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันจากหน้าจอโฮมได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายเซลฟี่ ดูการนัดหมายในแอพปฏิทิน หรือดูตัวอย่างอีเมลในแอพเมล
iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มีด้านหลังเป็นกระจกผิวด้าน และยังมาพร้อมกับกระจกที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟนอีกด้วย
ประสิทธิภาพการทำงานเร็วที่สุด พร้อมแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานที่สุด
A13 Bionic เป็นชิพที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟน เรียกได้ว่ามีประสิทธิภาพที่เหนือชั้น เหมาะสำหรับงานทุกประเภทที่ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ต้องรับมือ อีกทั้งยังมี CPU และ GPU ที่เร็วกว่า A12 ถึง 20% นอกจากนี้ A13 Bionic ยังสร้างมาเพื่อการเรียนรู้ของระบบ โดยมี Neural Engine ที่เร็วขึ้นสำหรับวิเคราะห์รูปถ่ายและวิดีโอแบบเรียลไทม์ รวมถึงตัวเร่งความเร็วการเรียนรู้ของระบบที่ทำให้ CPU สามารถดำเนินการต่างๆ ได้ถึง 1 ล้านล้านรายการต่อวินาที และเมื่อ A13 Bionic ผนึกกำลังกับ iOS 13 แล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือแพลตฟอร์มการเรียนรู้ของระบบที่ดีที่สุดในสมาร์ทโฟนนั่นเอง
ถึงแม้จะมีประสิทธิภาพด้านการประมวลผล กราฟิก และ ML ที่ทรงพลังขนาดนี้ แต่แบตเตอรี่กลับใช้งานได้นานขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยแบตเตอรี่ของ iPhone 11 Pro นั้นใช้งานได้นานกว่า iPhone Xs สูงสุด 4 ชั่วโมง ในขณะที่ iPhone 11 Pro Max ใช้งานได้นานกว่า iPhone Xs Max สูงสุด 5 ชั่วโมง
ชิพ A13 Bionic ที่ออกแบบโดย Apple ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับสมาร์ทโฟนทั้งในด้านประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน
ระบบกล้องระดับโปรสำหรับทุกคน
iPhone 11 Pro มาพร้อมระบบสามกล้องที่ปฏิวัติมาใหม่ ซึ่งประกอบด้วยกล้องอัลตร้าไวด์, ไวด์ และเทเลโฟโต้แบบใหม่หมด โดยทั้งหมดทำงานร่วมกับ iOS เป็นหนึ่งเดียวเพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานกล้องระดับโปรที่ไม่ว่าใครก็ใช้งานได้
iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ได้สร้างมาตรฐานใหม่ในด้านวิดีโอด้วยวิดีโอที่มีคุณภาพสูงสุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟน โดยที่กล้องแต่ละตัวในระบบสามกล้องสามารถบันทึกวิดีโอระดับ 4K ที่สวยสดงดงามด้วยช่วงไดนามิกที่กว้างขึ้น พร้อมระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวในคุณภาพระดับภาพยนตร์ นอกจากนี้กล้องอัลตร้าไวด์ยังมีมุมมองภาพที่กว้างขึ้นและระนาบโฟกัสที่ใหญ่ จึงเหมาะสำหรับการถ่ายวิดีโอแอ็คชั่น โดยที่ผู้ใช้สามารถซูมสลับไปมาระหว่างทั้งสามกล้องได้ง่าย อีกทั้งยังมีคุณสมบัติ “การซูมเสียง” ที่จะปรับเสียงให้สอดคล้องกับระดับการซูมของวิดีโอเพื่อให้ได้เสียงที่มีไดนามิกยิ่งขึ้น ยิ่งกว่านั้นใน iOS 13 ยังมีเครื่องมือปรับแต่งวิดีโออันทรงพลังให้ทุกคนเลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นการหมุน ครอบตัด เพิ่มระดับการเปิดรับแสง หรือใส่ฟิลเตอร์ให้กับวิดีโอแบบทันที โดยสามารถปรับแต่งทั้งหมดนี้แล้วดูผลลัพธ์ได้ง่ายๆ เพียงแค่เหลือบมอง ทีนี้แม้แต่มือสมัครเล่นก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานวิดีโอคุณภาพระดับมืออาชีพได้
กล้องอัลตร้าไวด์, ไวด์ และเทเลโฟโต้แบบใหม่หมดมีมุมมองภาพที่กว้างขึ้น เหมาะสำหรับการถ่ายภาพทิวทัศน์หรือสถาปัตยกรรม การถ่ายภาพในที่แคบ และอีกมากมาย
เมื่อฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว ทั้ง iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max จึงสามารถยกระดับประสบการณ์การใช้งานกล้องแบบเดิมให้เหนือชั้นยิ่งขึ้นในแบบที่มี Apple เท่านั้นที่ทำได้ เริ่มจากกล้องอัลตร้าไวด์แบบใหม่หมดที่จะเปลี่ยนประสบการณ์การใช้งานกล้องไปโดยสิ้นเชิง เพราะสามารถเก็บภาพได้กว้างขึ้นถึง 4 เท่า จึงเหมาะสำหรับการถ่ายภาพทิวทัศน์หรือสถาปัตยกรรม การถ่ายภาพในที่แคบ และอีกมากมาย ส่วนเซ็นเซอร์แบบไวด์ใหม่ที่มี Focus Pixels 100% และซอฟต์แวร์อันล้ำสมัยคือหัวใจสำคัญของโหมดกลางคืน และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นอีกมากเมื่อถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยไม่ว่าจะในร่มหรือกลางแจ้ง ทำให้ได้ภาพที่สว่างขึ้น มีนอยซ์น้อยลง และถ่ายทอดสีสันได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ระบบสามกล้องยกระดับโหมดภาพถ่ายบุคคลไปอีกขั้น เพราะเมื่อเลือกถ่ายภาพได้ทั้งแบบไวด์และเทเลโฟโต้ จึงสามารถใช้โหมดภาพถ่ายบุคคลกับมุมมองภาพที่กว้างขึ้นได้ ซึ่งเหมาะทั้งสำหรับการถ่ายภาพบุคคลและหลายๆ คน ส่วนกล้องเทเลโฟโต้ก็มาพร้อมรูรับแสงขนาดใหญ่ขึ้นเป็น ƒ/2.0 ที่รับแสงได้มากขึ้น 40% เมื่อเทียบกับ iPhone Xs จึงถ่ายภาพและวิดีโอได้สวยยิ่งขึ้น
HDR อัจฉริยะเจเนอเรชั่นใหม่ใช้การเรียนรู้ของระบบอันล้ำสมัยเพื่อหาบุคคลในภาพและเพิ่มความสว่างให้กับบุคคลนั้นอย่างชาญฉลาดเพื่อให้ภาพดูเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้นและเผยให้เห็นรายละเอียดมากย่ิงขึ้น นอกจากนี้ยังมีแฟลช True Tone ใหม่ที่สว่างขึ้นอีก 30% พร้อมด้วย Deep Fusion ซึ่งเป็นระบบประมวลผลภาพแบบใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย Neural Engine ของ A13 Bionic และจะสามารถใช้งานได้ภายในปีนี้ โดย Deep Fusion จะใช้การเรียนรู้ของระบบที่ล้ำหน้าในการประมวลผลรูปภาพแบบพิกเซลต่อพิกเซล เพื่อปรับรายละเอียด ลวดลาย และนอยซ์ในทุกส่วนของภาพให้สวยงามลงตัวที่สุด
อินเทอร์เฟซกล้องโฉมใหม่มอบประสบการณ์ที่เต็มตามากยิ่งขึ้น โดยจะทำงานร่วมกับระบบสามกล้องและจอภาพที่เป็นหน้าจอทั้งหมดเพื่อให้ผู้ใช้ได้เห็นภาพที่อยู่นอกเฟรมและยังเก็บภาพนั้นได้ด้วย อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ผู้ใช้สามารถบันทึกวิดีโอได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องสลับจากโหมดรูปภาพ เพราะเมื่อมี QuickTake แล้ว เพียงแค่แตะปุ่มชัตเตอร์ค้างไว้ก็เริ่มบันทึกวิดีโอได้ทันที
QuickTake ช่วยให้ผู้ใช้บันทึกวิดีโอได้ง่ายๆ เพียงแค่แตะปุ่มชัตเตอร์ค้างไว้
กล้อง TrueDepth ใหม่ใช้กล้องความละเอียด 12MP ที่มีมุมมองภาพกว้างขึ้นสำหรับการถ่ายภาพเซลฟี่ ทั้งยังมี HDR อัจฉริยะเจเนอเรชั่นใหม่ที่จะทำให้ภาพดูเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น ยิ่งกว่านั้นวันนี้กล้อง TrueDepth ยังสามารถบันทึกวิดีโอระดับ 4K ได้สูงสุดถึง 60 fps และ 120 fps ในแบบสโลว์โมชั่น ซึ่งจะช่วยเปิดโลกใหม่แห่งการถ่ายเซลฟี่แบบสนุกๆ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
กล้องหน้า TrueDepth สามารถบันทึกวีดีโอ 4K ได้สูงสุด 60 fps และ 120 fps ในแบบสโลว์โมชั่น
คุณสมบัติอื่นๆ
- ชิพ U1 ที่ออกแบบโดย Apple ใช้เทคโนโลยีอัลตร้าไวด์แบนด์สำหรับการรับรู้ตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในสมาร์ทโฟน และเมื่อ iOS 13.1 เปิดให้ใช้งานในวันที่ 30 กันยายนนี้ AirDrop ก็จะทำงานได้ดียิ่งขึ้น เพราะสามารถรับรู้ทิศทางการหันเครื่อง และแนะนำเครื่องที่จะแชร์ไฟล์ด้วยได้
- Face ID ซึ่งเป็นการยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าที่ปลอดภัยที่สุดในสมาร์ทโฟน ทำงานเร็วขึ้น 30% และใช้ง่ายขึ้นด้วย เพราะสามารถทำงานได้ดีขึ้นจากระยะต่างๆ และทำงานได้จากหลายมุมมากขึ้นด้วย
- ระบบเสียงสมจริงรอบทิศทางจะสร้างประสบการณ์การฟังที่เต็มอิ่มจากทุกทิศทาง พร้อมด้วย Dolby Atmos ที่ให้เสียงทรงพลังเต็มอารมณ์บน iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max
- LTE ระดับ Gigabit สูงสุด 1.6Gbps และ Wi-Fi 6 ช่วยให้ดาวน์โหลดได้เร็วขึ้น2 และรองรับซิมคู่ด้วย eSIM3
มาพร้อม iOS 13
iOS 13 บน iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มอบประสบการณ์ที่ราบรื่นไร้รอยต่อ เพราะมีฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่เหมือนสมาร์ทโฟนไหนๆ และ iOS 13 ยังมีลุคใหม่อันโดดเด่นอย่างโหมดมืด, วิธีลงชื่อเข้าใช้แอพและเว็บไซต์ที่เป็นส่วนตัวยิ่งขึ้นด้วยคุณสมบัติ “ลงชื่อเข้าด้วย Apple” และประสบการณ์การใช้งานแอพแผนที่แบบใหม่หมด4
เมื่อมีคุณสมบัติอันล้ำสมัยในแอพกล้องและรูปภาพ การปรับแต่งรูปจึงครอบคลุมและเรียบง่ายยิ่งขึ้น ทั้งยังมาพร้อมเครื่องมือใหม่ๆ อันทรงพลังที่วันนี้สามารถใช้กับการปรับแต่งวิดีโอได้แล้วเช่นกัน ส่วนการปรับแต่งคุณสมบัติ “การจัดแสงภาพถ่ายบุคคล” ก็ทำได้ทันทีในแอพกล้อง โดยสามารถปรับความเข้มของแสงที่ส่องลงบนแบบ และมีเอฟเฟ็กต์ “แสงไฟขาวดำไฮคีย์” ใหม่ที่จะสร้างลุคขาวดำอันสวยงามให้กับรูปในโหมดภาพถ่ายบุคคล
ราคาและการวางจำหน่าย
- iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max จะมีให้เลือกระหว่างรุ่นความจุ 64GB, 256GB และ 512GB ในสีเขียวมิดไนท์กรีน เทาสเปซเกรย์ เงิน และทอง ในราคาเริ่มต้นที่ 35,900 บาท และ 39,900 บาท ตามลำดับ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มีจำหน่ายทางตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตจาก Apple และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์อีกหลายราย (ราคาอาจแตกต่างกัน)
- ลูกค้าในสหรัฐอเมริกา, เปอร์โตริโก, หมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐฯ และอีกกว่า 30 ประเทศและภูมิภาคจะสามารถสั่งจอง iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ได้ในวันศุกร์ที่ 13 กันยายน ตั้งแต่เวลา 5:00 น. ตามเวลาแปซิฟิกเป็นต้นไป และจะวางจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 20 กันยายน
- iOS 13 จะเปิดให้ใช้งานในวันที่ 19 กันยายน ในรูปแบบของการอัพเดทซอฟต์แวร์ฟรีสำหรับ iPhone 6s และใหม่กว่า ส่วนคุณสมบัติเพิ่มเติมอื่นๆ จะใช้งานได้ในวันที่ 30 กันยายน โดยจะมาพร้อมกับ iOS 13.1.5
- Apple Arcade บน App Store จะเปิดให้บริการพร้อมกับ iOS 13 ในรูปแบบการสมัครสมาชิกในราคา 99 บาทต่อเดือน และสามารถทดลองใช้งานฟรี 1 เดือน6 โดยผู้ใช้จะสามารถเล่นเกมใหม่ๆ ทั้งหมดในแค็ตตาล็อกที่มีให้เล่นที่นี่ที่เดียวกว่า 100 เกมแบบไม่จำกัดทั้งบน iPhone, iPad, iPod touch, Mac และ Apple TV
- Apple TV+ จะเปิดให้บริการทางแอพ Apple TV บน iPhone, iPad, Apple TV, iPod touch, Mac และแพลตฟอร์มอื่นๆ รวมถึงทางออนไลน์ที่ (tv.apple.com) ในราคา 99 บาทต่อเดือน และสามารถทดลองใช้งานฟรี 7 วัน นอกจากนี้ลูกค้าที่ซื้อ iPhone รุ่นใดก็ตามจะสามารถใช้งาน Apple TV+ ได้ฟรี 1 ปี ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป7
- Apple Arcade บน App Store และ Apple TV+ บนแอพ Apple TV เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในบริการอันล้ำสมัยของ Apple ซึ่งรวมถึง Apple Music, Apple News+, Apple Pay และ iCloud
- ลูกค้าทุกรายที่ซื้อ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max จาก Apple จะได้รับบริการตั้งค่าแบบส่วนตัวในร้านหรือทางออนไลน์ฟรี เพื่อช่วยปรับแต่ง iPhone ให้เหมาะกับการใช้งานของตนโดยการช่วยถ่ายโอนข้อมูล ลบข้อมูลทั้งหมดในเครื่องเก่า ตั้งค่าอีเมล แสดงการใช้งานแอพใหม่ๆ จาก App Store และอีกมากมาย
- ลูกค้าสามารถขยายระยะเวลาการรับประกันแบบจำกัดด้วย AppleCare+ และ AppleCare+ ที่ครอบคลุมถึงการโจรกรรมและการสูญหาย และรับสิทธิพิเศษในการติดต่อกับฝ่ายบริการช่วยเหลือด้านเทคนิคตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน
- ลูกค้าที่สนใจอยากรู้จัก iPhone 11 และ iPhone 11 Pro ให้มากขึ้นสามารถเข้าร่วมเซสชั่น Today at Apple ใหม่ของ Apple ในชื่อ Quick Tip ความยาว 15 นาที ซึ่งจะเน้นไปที่คุณสมบัติยอดนิยมหลายๆ อย่างของ iPhone เช่น การถ่ายรูป โดยผู้สนใจสามารถเข้าร่วมได้โดยไม่ต้องลงทะเบียน และเซสชั่น Quick Tip ใหม่นี้จะเริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่ 20 กันยายนเป็นต้นไป
You must be logged in to post a comment.