รีวิว Huawei Freelace Pro หูฟัง Bluetooth ตัวล่าสุด เสียงดี ฟีเจอร์แจ่ม

Huawei ออกซีรีส์หูฟังไร้สายมาใหม่ งานนี้มีหลายรุ่น และที่จับมารีวิววันนี้คือ Huawei Freelace Pro ตัวต่อยอดหูฟัง Bluetooth ที่อัพเกรดมาแล้ว ด้วยคอนเซ็ปท์สายคล้องคอที่ปรับเข้าใช้งานได้กับทุกแอคทิวิตี้ ถอดชาร์จสะดวกผ่าน USB-C และฟีเจอร์ใหม่อย่างการเชื่อมต่อใช้งานได้ง่าย HiPair ผ่าน USB-C เพิ่มโหมดการใช้งานอย่างการจัดเสียงรบกวน Active Noise Cancelling พร้อมไมค์คุณภาพ 3 ตัว และยังมีไดร์เวอร์ที่แจ่มกว่าเดิม และที่สำคัญ ยังอึดเหมือนเดิมอีกด้วย

ข้อดีของเจ้า Huawei Freelace Pro ที่ชัดเจนเลยก็คือใช้งานได้แบบนานทั้งวัน โดยไม่ต้องชาร์จ อาจจะต่างจากเทรนด์ของ หูฟังไร้สายในปัจจุบันแบบ TWS ที่ต้องพกพาตัวเคสสำหรับชาร์จ ซึ่งจริงๆ ก็ดีไปคนละแบบ สำหรับใครที่ยังชอบการดีไซน์แบบ Huawei Freelace Pro ที่ยังเป็นหูฟัง Bluetooth มีสายคล้องคอ ก็มาดูกันครับ นอกจากไม่ต้องชาร์จ ใช้งานได้ยาวนานแล้ว ก็คงเป็นเรื่องของคุณภาพเสียงและการเชื่อมต่อที่ง่ายมาก งานนี้มาในราคาค่าตัวที่ 2,999 บาท

 

อุปกรณ์ในกล่อง งานนี้มี earbud ให้เปลี่ยนอีกสองขนาด และมีสาย USB-C มาให้ด้วยกรณีไม่มี USB-C ที่บ้านใช้สำหรับชาร์จ แต่ปัจจุบันอย่างบ้านผมก็เริ่มเปลี่ยนเป็น USB-C เยอะแล้วล่ะครับ แต่ก็เชื่อว่าอีกหลายคนก็ไม่น่าจะมี การที่แถมมาให้ด้วยโดยไม่ต้องไปซื้อเพิ่มนับว่าดี

สำหรับรูปร่างหน้าตายังคงเหมือนเดิม สายคล้องคอที่ทำมาได้ยืดหยุ่น ใช้งานได้อย่างสบายน้ำหนักก็ไม่ได้มากอะไร หากเป็นคนที่ใช้ซีรีส์นี้อยู่แล้วเชื่อว่าชอบอย่างแน่นอน

ตัวไดร์เวอร์ขนาด 14 มม. งานนี้จัดพลังเสียงมาแบบว่าเบสแน่น และดังมาก คุณภาพคับหูเลย ทั้งที่เป็นหูฟังขนาดเล็กแบบนี้ เก็บรายละเอียดเสียงได้ดีเลยทีเดียว นอกจากนั้นฟีเจอร์อย่าง Active Noise Cancelling ก็สามารถควบคุมโดยใช้เพียงการแตะค้างไว้ที่หูฟังด้านซ้าย เพื่อเลือกเปิดปิดฟีเจอร์

ตัวแม่เหล็กยังคงติดหนึบเหมือนเดิม และเป็นตัวบอกด้วยว่าไม่มีการใช้งานจะหยุดการเล่นเพลงทันที อยู่ใหมดสแตนบาย แต่ถ้านานในระยะเวลานึงก็จะปิดตัวเองเพื่อเซฟแบต โดยแบตจะมีให้ที่ 150 mAh นะ

ตัว earbud ก็ใส่ได้พอดีกับขนาดหู มี eartip สำหรับดันร่องหูทำให้แน่นกระชับ ใช้งานปกติ หรือจะใส่ออกกำลังกายก็ไม่หวั่น

ส่วนที่สำคัญก็คงเป็นการคอนโทรลใช้งาน สามารถควบคุมการเล่นเพลงได้ผ่านปุ่มที่อยู่ตรงสายคล้องคอ รวมถึงรับสายวางสายได้ตรงนี้เช่นเดียวกัน

มีปุ่มสำหรับเปิดหรือปิดการทำงานอยู่ตรงด้านข้าง ซึ่งปุ่มกดตรงนี้เองมีประโยชน์เพิ่มเติมด้วย ส่วนดีไซน์โดยรวมก็ดูสวยงามดี ตัวนี้เป็นสีดำ Graphite Black แต่จะมีสีให้เลือกอีกสองสีคือ Dawn White และ Spruce Green ก็อาจจะไปดูเรื่องสีที่ Huawei Store ตามห้างกันอีกทีนะ

ปุ่มกดปิดเปิดการทำงานตรงนี้ล่ะ หากเรากดสองครั้ง จะเป็นการสลับเครื่องใช้งาน เจ้า Huawei Freelace Pro รุ่นนี้สามารถเชื่อมต่อกับอุปกณ์ได้ 2 เครื่อง เวลาใช้งานจริงก็กดปุ่มปิดเปิดการทำงาน สองครั้งนี่ล่ะครับ เป็นการสลับไปมา

 

 

ส่วนเรื่องการเชื่อมต่อที่ง่ายขึ้น (ต้องใช้ร่วมกับ EMUI9.0 ขึ้นไป) คือแค่เสียบสายเข้ากับ Smartphone ก็สามารถทำาการเชื่อมต่อได้ทันที ไม่ต้องกดปุ่มเพื่อจับคู่อีกต่อไป งานนี้ออกแบบมาให้ใช้งานร่วมกับ Smartphone Huawei ได้อย่างลงตัว อาจจะมีนิดนึงก็ตรงที่ พอร์ทบน Smartphone ต้องเป็น USB-C นะ

แน่นอนว่าการชาร์จก็เป็นเรื่องง่ายผ่าน USB-C เช่นเดียวกัน

ลองสวมใส่ใช้งาน

ตัวหูฟังทั้งสองด้านกระชับเข้ากับใบหูและร่องหูด้านใน ไม่รู้สึกระคายเคือง ก็ถือว่าวัสดุที่เลือกมาโอเคนะ ใส่นานๆ ก็ไม่มีปัญหา

ส่วนของสายที่ห้อยออกมาผมว่ามันแอบยาวไปนิดนึง ถ้ามีฟีเจอร์ปรับขนาดสายได้จะดีมากเลย อันนี้ก็อาจจะแล้วแต่ช่วงตัวแต่ละคนด้วย สรีระเราไม่เท่ากัน ส่วนตัวคือตัวเล็กกว่าคนทั่วไปเลยแอบไม่แมทช์

สำหรับการคล้องคอ จริงๆ ก็แนบชิดสนิทคอดีเหลือเกิน และแน่นอนว่าไม่ได้เกิดการระคายเคืองอะไร ก็จะมีแค่รู้สึกมันมีอะไรรั้งคอเรานิดนึง อันนี้อาจจะเป็นจุดที่หลายคนไม่ชอบสำหรับหูฟัง Bluetooth แบบนี้ อันนี้ก็แล้วแต่ล่ะนะ

 

สรุปการใช้งาน Huawei Freelace Pro

โดยภาพรวมแล้ว ถือว่าน่าประทับใจครับ เสียงเพลงที่ตอบสนองครบถ้วน แต่ที่โดนใจก็คือเบสแน่นจริงๆ อาจจะหนักไปสักหน่อยหากใครที่ไม่ชอบเบสนะ ส่วนตัวโอเคมากเลย ความดังนี่ห้ามเปิดสุดหูแตกได้เลยนะ ซึ่งรุ่นนี้คือรุ่น Pro เรียกว่าออกมาเพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน โดยเฉพาะกับ Smartphone Huawei เอง ที่สามารถแพร์ใช้งานผ่านพอร์ท USB-C ได้ทันที แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่สามารถใช้งานร่วมกับค่ายอื่นได้ล่ะนะ มีฟีเจอร์ใหม่อย่าง Active Noise Canceling ที่ใส่มาให้ด้วย ไมค์ก็มี 3 ตัวจัดเต็ม คุยสายเสียงเคลียร์ ชัดเจนดี เอาไปใส่ออกกำลังกายก็ได้นะ ปกติผมก็วิ่งอยู่ แค่รู้สึกว่าตัวคอนโทรลมันจะรู้สึกเหมือนมีอะไรหน่วงนิดนึง ส่วนแบตนี่หายห่วงวันนึงสบายๆ ซึ่งเป็นจุดเด่นของซีรีส์นี้อยู่แล้ว กับราคาค่าตัวที่ 2,999 บาท อาจจะดูแรงไปสักนิด แต่ฟีเจอร์และคุณภาพเสียงที่ได้ ผมว่าก็คุ้มอยู่นะ

ขอบคุณ Huawei Thailand สำหรับอุปกรณ์ทดสอบ



ถูกใจบทความนี้  3