วันนี้ขอหยิบเอา Huawei Watch 3 ซีรีส์ 2 รุ่น มาแนะนำรีวิวให้ชมกันนะครับ มีรุ่นปกติที่เป็นสายซิลิโคนแบบสปอร์ตที่เรียกว่า Huawei Watch 3 Active Edition และอีกรุ่นที่เป็นสายหนัง เรียกว่า Hauwei Watch 3 Classic Editon งานนี้มาพร้อมกับ HarmonyOS เรียบร้อยแล้ว การทำงานน่าสนใจ ยังไงบ้างต้องมาติดตามชมกัน ส่วนราคาค่าตัวตอนนี้เปิดตัวและหาซื้อกันได้แล้วนะ เริ่มที่ 12,990 บาท โดยมีการแทรคเรื่องสุขภาพอย่างครบถ้วน แถมยังได้การวัดอุณหภูมิได้อีกด้วย ในฝั่งของความเป็น Smartwatch ไม่ต้องสงสัยด้านนี้ Huawei มีฟีเจอร์รองรับอย่างครบถ้วนเลยทีเดียวล่ะครบั มาดูกันครับว่าทั้งสองรุ่นเป็นยังไงบ้าง
สเปคโดยทั่วไปสำหรับทั้ง Huawei Watch 3 Active Edition และ Hauwei Watch 3 Classic Editon สเปคเหมือนกัน ต่างกันที่ภายนอกและสายรัดข้อมือ
โดยสเปคทั่วไปขออนุญาตให้คลิ้กเข้าไปดูที่ลิงค์ของ Huawei ละกันนะครับ ส่วนกล่องและรายละเอียดอุปกรณ์ในกล่องก็เหมือนกันเลย
โดยที่ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงนิดหน่อยสำหรับแท่นชาร์จ คืองานนี้ไม่หายแล้ว และเป็นชาร์จแบบไร้สาย หากเคยใช้รุ่น Huawei Watch GT 2 Pro มาก่อน จะรู้ความแตกต่างเลยว่า แท่นชาร์จที่ให้มาเป็นแบบตัวแท่นแยกกับสายชาร์จดังนั้น บางครั้งเวลาเราไม่ได้ชาร์จ อาจจะแยกสายชาร์จออกจากตัวแท่น ทำให้บางทีก็ไม่รู้เอาไปวางไว้ไหน ฮ่ะๆ อันนี้ประสบการณ์ตรง สำหรับ Huawei Watch 3 Active Edition และ Hauwei Watch 3 Classic Editon
ผมชอบเลบตัดปัญหานี้ไปได้เรียบร้อย ส่วนใครที่เคยใช้รุ่นอื่นแบบ magnetic ก็อาจจะต่างกันนิดนึง คือตรงนี้เป็นแบบ Wireless Charging จริงๆ น่ะครับ สะดวกกว่า แค่วางไว้ไม่ต้องกังวลว่าจะวางผิดตำแหน่ง กลับหัว แล้วไม่ชาร์จอะไรแบบนี้นะ
คราวนี้เรามาดูรายละเอียดกัน Huawei Watch 3 Active Edition และ Hauwei Watch 3 Classic Editon ทั้งสองรุ่นพร้อมความแตกต่างไปพร้อมๆ กันเลยนะครับ
สำหรับรุ่น Huawei Watch 3 Active Edition มาพร้อมกับสายซิลิโคน ตามสเปคเค้าเรียกว่า Fluoroelastomers เป็นยางแบบนึง มีความยืดหยุ่นคงทน ทนความร้อนได้ดี ใส่สบาย พื้นผิวลื่นดี เหมาะกับการใส่ออกกำลังกาย ส่วน Hauwei Watch 3 Classic Editon มาพร้อมกับสายหนังที่ดูเหมาะกับการใส่ไปทำงานหรือใส่ทั่วไปมากกว่า และสายยังสามารถถอดเปลี่ยนได้ง่าย ดังนั้นใครที่ใช้รุ่น Hauwei Watch 3 Classic Editon ก็แนะนำติดสายแบบสปอร์ตเอาไว้ เพื่อเปลี่ยนเวลาออกกำลังกายจะเหมาะกว่า สายหนังก็จะมีข้อเสียตรงโดนเหงื่อแล้วจะมีกลิ่นนะ
เรื่องขนาดตัวเรือนและหน้าปัทม์
เรื่องขนาดตัวเรือนและหน้าปัทม์ มีขนาดกว้าง 1.43 นิ้ว การแสดงผลเต็มจอ แต่ยังเหลือขอบอีกนิดหน่อย เวอร์ชั่นถัดไปคงพัฒนาให้เป็นแบบเต็มจอจริงๆ และแน่นอนว่าเป็นทัชสกรีน ควบคุมได้ง่าย เรื่องการแสดงผล เรียกว่าเหมาะกับทุกเพศ ทุกวัย อย่างผมเองก็ไม่น้อยแล้ว สายตาเริ่มสั้นละ ก็ยังสามารถโฟกัสรายละเอียดต่างๆ ได้ครบถ้วนเลย
ด้านการควบคุม
นอกจากจะควบคุมผ่านการทัชสกรีนแล้ว ยังมีปุ่มกดเพื่อช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการใช้งาน ตัวเม็ดมะยมนี่ ผมว่าเป็นตัวชูโรงเลยนะ คือมันง่ายมากกว่าการเลื่อนหน้าจอหรือเลือกเข้าใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ แบบทัชสกรีน แต่เอาจริงๆ คือแล้วแต่ถนัด เพราะสามารถใช้งานได้สองแบบ Huawei Watch 3 Active Edition และ Hauwei Watch 3 Classic Editon ก็มาพร้อมกับปุ่มกดด้านล่างเพื่อทำการยืนยันเรียกใช้งานเมนูต่างๆ หรือเม็ดมะยมที่ใช้สำหรับเลื่อนหน้าจอหรือเมนูได้อย่งารวดเร็ว
เรื่องดีไซน์
ผมว่าเรื่องนี้ Huawei ออกแบบมาได้เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ดูสวยงาม และยังคงความเป็นสปอร์ตหรือเหมาะกับการออกกำลังกาย ใช้งานได้ทั้งในชีวิตประจำวัน ใส่ไปทำงานด้วย สำหรับ Huawei Watch 3 Active Edition และ Hauwei Watch 3 Classic Editon ความแตกต่างก็คือสีของตัวเรือนนั่นเอง ซึ่ง Huawei Watch 3 Active Edition จะมีตัวเรือนเป็นสีดำทั้งเรือน ทั้งปุ่มกดและตัวเรือน พร้อมสาย ใส่ได้ทุกโอกาส และ Hauwei Watch 3 Classic Editon เป็นตัวเรือนสีเงิน ซึ่งดูหรูหรา เหมาะกับผู้บริหารและระดับสูง หรือคนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ นี่ล่ะ ใส่แล้วก็ดูหรูขึ้นมาทันทีเลยนะ ถ้ายิ่งใส่กับชุดที่ดูเป็นทางการ ไปออกงานรื่นเริง งานสังคมอะไรแบบนี้ เหมาะเลยล่ะครับ อ้อ นิดเดียวที่ตรง Hauwei Watch 3 Classic Editon ดูเห็นรอยนิ้วมือบนตัวเรือนง่ายไปสักหน่อย
มาดูด้าน HarmonyOS และฟีเจอร์ต่างๆ บน Huawei Watch 3 Active Edition และ Hauwei Watch 3 Classic Editon กันบ้าง
เท่าที่ได้ใช้งานมาสักระยะนึงแล้ว ผมถือว่า HarmoryOS ที่มาอยู่ในอุปกรณ์สวมใส่ของ Huawei ในครั้งนี้ทำได้ดีนะ ใช้งานได้ลื่น รวดเร็ว แต่อย่างว่าพอเริ่มมี OS เข้ามาเกี่ยวแล้ว ก็ส่งผลเรื่องอายุการใช้งานและเรื่องแบตเตอรี่นั่นเอง แต่ก็ไม่มากนัก จากที่เคยใช้งานรุ่นก่อนๆ ก็ถือว่า Huawei Watch 3 Active Edition และ Hauwei Watch 3 Classic Editon แบตหมดไวกว่า อาจจะด้วยฟีเจอร์ที่มีมากขึ้น แทรครายละเอียดทั้งวัน คือผมเปิดแบบ full เปิดแทรคสุขภาพทุกอย่าง แจ้งเตือน และอื่นๆ เต็มที่ อยู่ได้ประมาณ 2-3 วัน แต่ด้านการใช้งานคือลงตัว ทั้งการคอนโทรล ความลื่นไหลรวดเร็ว ซึ่ง HarmonyOS ทำได้ดีอยู่ พร้อมทั้ง ยังมากับการเชื่อมต่อที่เรียกว่าแทบจะเป็นอิสระจากกัน
เรียกว่าเป็นอะไรที่ใหม่ใน Hauwei Watch เลยก็ว่าได้กับ HarmonyOS แยกเมนูออกมาเป็น UI ในการเลือกใช้งานชัดเจน ใช้งานร่วมกับการควบคุมผ่านปุ่มกดและเม็ดมะยมยิ่งสะดวก ไม่ว่าจะเป็นดูหรือเลือกใช้เมนูสเตตัสต่างๆ หรือจะเป็นการทำงานเสริมอื่น เช่นการฟังเพลง การดูสภาพอากาศ ที่สำคัญรองรับการติดตั้งแอปเพิ่มเติมผ่าน Huawei AppGellery ได้อีกด้วย ผ่านการเชื่อมต่อ WiFi ยังไม่นับรวมฟีเจอร์ E-SIM ที่รองรับกับการโทรแบบอิสระ ซึ่งฟีเจอร์นี้ยังไม่ได้ทดสอบเนื่องจากต้องไปเปิดใช้งานกับค่ายผู้ให้บริการ ไว้ทดสอบแล้วมาเล่าให้ฟังอีกที แต่เบื้องต้น สามารถรับสายและพูดคุยผ่านข้อมือเราได้เลยนะ โดยฟีเจอร์นี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ดีมากในช่วงเวลาทำงาน หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือไม่ก็อาจจะมีแอคทิวิตี้อื่นที่ไม่สะดวกกหยิบ Smartphone ขึ้นมาคุย หรืออยู่คนละที่ อันนี้สะดวกสบายจริง เสียงดังฟังชัด สัญญาณไม่ขาดหาย การแจ้งเตือน อันนี้คือเป็นภาษาไทยชัดเจน ตอบกลับข้อความก็ได้ด้วย
มาลองใช้งานออกกำลังกายกันสักหน่อย
ด้านการออกกำลังกายถือว่า Huawei Watch ทำมาได้ดีโดยตลอด ปรับปรุงและพัฒนาขึ้นมา โดยส่วนใหญ่แล้ว จะครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง ปั่น ว่ายน้ำ หรือในยุคนี้ มีโหมดกีฬาต่างๆ ให้เพียบ คือครอบคลุมทุกอย่างก็ว่าได้ แต่เรื่องโหมดกีฬาหลักที่ใช้การแทรคมากหน่อยก็คงไม่พ้นเรื่องการ วิ่ง ปั่น ว่ายล่ะครับ และก็ไตรกีฬา ซึ่งอันนี้ก็มีให้เช่นกัน ที่เหลือ ก็แล้วแต่ว่ากีฬาชนิดไหน ใช้การแทรคเซ็นเซอร์ลักษณะไหน เช่นแทรคเฉพาะหัวใจ แทรคเฉพาะการเคลื่อนไหว อะไรแบบนี้ แยกกันไปเป็นส่วนๆ ส่วนตัวในช่วงโควิดแบบนี้ เน้นการออกกำลังกายบริหาร หรือเวทเทรนนิ่งทั่วไป มีปั่นบ้าง วิ่งนิดหน่อย ไม่มากนัก เอาเป็นว่าเรื่องการออกกำลังกายคือครอบคลุมทั้งหมด แต่มีอย่างนึงที่ไม่เห็น และไม่แน่ใจว่าทำไมไม่ใส่มาให้ นั่นก็คือเรื่องของการกระโดดเชือก ซึ่งใน Huawei Band 6 มีนะ รุ่นเล็กสุดในบรรดา werable device แต่รุ่นสูงสุดกลับไม่ใส่มาให้ หรือไม่ก็คงต้องรออัปเดตอีกทีนึง หรือหากใครใช้งานอยู่แล้วเจอฝากบอกด้วยละกันนะครับ จะมาอัปเดตบทความแก้ไขอีกที
เรื่องแทรคสุขภาพและชีวิตประจำวัน
สำหรับด้านนี้ คือมีเรื่องของการแทรคอุณหภูมิเพิ่มเติมขึ้นมา ก็ถือว่าใหม่ในด้านของ Huawei Watch ซีรีส์ แต่ก็ไม่ได้ใหม่อะไรในวงการ Sportwatch นะ ส่วนของการแทรคหัวใจ ก็ทำได้ดีอยู่แล้ว การแทรคความเครียดก็ได้ 24 ชั่วโมงอัตโนมัติ การแทรคเรื่อง ออซิเจนในเลือด อันนี้ถือว่าดีกว่าค่ายอื่นโดยส่วนใหญ่ เพราะสามารถเปิดแบบอัตโนมัติได้ทั้งวันจริงๆ ไม่ได้วัดเป็นครั้งๆ หรือช่วงเวลาเฉพาะเท่านั้น ที่เหลือคงเป็นการแทรคความเคลื่อนไหวต่างๆ ซึ่งก็ครอบคลุมอยู่แล้ว มี Huawei TrueSleep ที่ช่วยแทรคการนอนหลับได้ งีบหลับก็ได้ อันนี้มีมานานละ
ด้านแอปพลิเคชั่น Huawei Health
สำหรับการใช้งานร่วมกับแอป Huawei Health ผมเชื่อว่าในปัจจุบัน Smartphone มีหลากหลาย Huawei Health สามารถดาวโหลดใช้งานได้ทั้ง Android ทุกค่าย และ iOS เองก็เช่นเดียวกัน เรียกว่าเปิดให้ทุกคนได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ใช้งานได้อย่างเต็มที่ ถ้าบน Android ก็แนะนำลง HMS เพิ่มเติมด้วยนะครับ ส่วนของตัวอย่างนั้นก็จะมีสรุปรีพอร์ตด้านต่างๆ ให้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวในแต่ละวัน อัตราการเต้นของหัวใจ การนอน ความเครียด ออกซิเจนในเลือดทั้งวัน รวมถึงการออกกำลังกาย ดูตัวอย่างตามภาพได้เลย
ด้านสุขภาพก็ครบ
ด้านออกกำลังกายก็มี และตัวแอปเองมีการอัปเดตอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วง มีการสรุปผลให้ในแต่ละเดือนด้วยว่าเป็นอย่างไร ถ้าเป็นเรื่องของการออกกำลังกายเช่นกายวิ่ง หรือปั่น ก็จะมีสรุปเส้นทางเป็นอนิเมชั่นเล็กๆ ให้เราดูและแชร์ได้อีกด้วย เอาเป็นว่าก็ครบถ้วนล่ะครับ
การตั้งค่าอื่นๆ อีกเพียบ อยู่ในเมนูอุปกรณ์แล้วเลือกไปที่ชื่ออุปกรณ์ของเรา
โดยทั้งสองรุ่น Huawei Watch 3 Active Edition และ Hauwei Watch 3 Classic Editon มีฟีเจอร์การใช้งานที่เหมือนกันนะครับ
สรุปการใช้งาน Huawei Watch 3 Active Edition และ Hauwei Watch 3 Classic Editon
จริงๆ ยังมีฟีเจอร์อื่นๆ อีกเพียบนะ คงเล่าไม่หมด เอาเป็นว่า การใช้งานโดยภาพรวม ทั้งสองรุ่น Huawei Watch 3 Active Edition และ Hauwei Watch 3 Classic Editon ทำได้สมกับความเป็นรุ่นที่ดีที่สุดในอุปกรณ์สวมใส่ของ Huawei มีฟีเจอร์การทำงานที่เพียบพร้อม มาพร้อมกับ HarmonyOS ที่ช่วยให้การทำงานลื่นไหล สะดวก ลงตัว และยังเสริมจากแอปต่างๆ ได้อีกด้วย ด้านดีไซน์ ก็เรียกว่าให้เราเลือกเอานั่นล่ะครับ อยากได้สีแบบไหน สีดำ หรือเงิน ซึ่งก็มีความสวยงามต่างกัน สายก็หาซื้อเปลี่ยนได้ มาตรฐานเปลี่ยนไม่ยาก ใส่ได้ทุกโอกาส ด้านการออกกำลังกาย ก็ครบถ้วน สุขภาพก็ดี การใช้งานร่วมกับ Smartphone ทั้ง Android และ iOS ก็รองรับหมด ไม่ว่าค่ายไหนก็สามารถใช้งานได้ การเชื่อมต่อที่สุด ทั้ง WiFi และรองรับ E-SIM มีเรื่องแบตเตอรี่ ที่หากเปิดเต็มอาจจะอยู่ได้ 2-3 วันเฉลี่ยประมาณ 3 วัน แต่ถ้าไม่ได้ใช้งานอะไรมากมีโหมดประหยัดแบตที่ช่วยให้ใช้งานได้ยาว 14 วันเลยทีเดียว แต่ก็ขาดฟังก์ชั่นต่างๆ ไปพอสมควร ที่เหลือ ก็อยู่ที่เราแล้วล่ะครับ งานนี้เปิดจำหน่ายแล้วนะได้ทั้งแนะนำซื้อทาง Online ก็สะดวกดีครับ ในช่วงโควิดแบบนี้ สำหหรับ Huawei Watch 3 Active Edition ราคา 12,990 บาท และ Hauwei Watch 3 Classic Editon ราคา 14,990 บาท
Harmony น่าจะทำฟอนด์ภาษาไทยของตัวเองนะครับ ดู ๆ เหมือนยก android มาใช้ หรือยังติดกับดักเจ้าหุ่นอยู่!!!