รีวิว OnePlus Nord CE 5G เป็นหนึ่งในเรื่องลื่น ไหล เร็ว เสถียร

วันนี้จะพามาพบกับ OnePlus Nord CE 5G ที่ออกมาสักพักใหญ่แล้ว เรียกว่าเป็นอีกรุ่นของ OnePlus ที่แฟนๆ ยังสามารถเลือกหา เลือกซื้อกันได้นะ โดยสเปคตัวนี้เป็นตัว Snapdragon 750G ระดับกลาง แต่ในยุคนี้ ก็ตอบโจทย์การใช้งานได้หมด รวมถึงเล่นเกม ก็ยังไหว ราคาค่าตัวอยู่ที่หมื่นต้น ซึ่งเป็นราคาที่ผมว่า สมเหตุสมผล กับการใช้งานรวมถึงยุคโควิดแบบนี้ด้วยนะครับ  มาพร้อมกับหน้าจอรีเฟรชเรท 90Hz และรองรับการใช้งาน 5G แรงๆ กันไปและที่สำคัญมาพร้อมกับ OxygenOS ที่เสถียรและใช้งานได้ลื่นไหลสุดๆ เสียด้วย

 

สำหรับ OnePlus นับเป็นอีกหนึ่งค่าย ที่ในช่วงหลังมีการปรับตัวพอสมควร นับจากที่ผ่านมา ก็มีด้านราคานั่นล่ะครับ และปรับเรื่องรุ่นต่างๆ ที่ออกมาจนมาถึงซีรีส์ของ Nord ที่เรียกว่ายกเอาความเป็นเรือธงขนาดย่อมๆ มาใส่เอาไว้ในซีรีส์นี้ แต่ถ้ากางสเปคกันจริงๆ ก็รุ่นระดับกลางนั่นล่ะ เพราะเอามาสู้กับตลาดที่มีการแข่งขันรุนแรงนั่นเอง ซึ่งความเสถียรของ OxygenOS เองก็ได้รับการยอมรับ แม้ว่าในช่วงหลังอาจจะไม่ได้แจ่มเท่ากับช่วงแรก จากประสบการณ์หลายคนที่ใช้งานมา ซึ่งใน OnePlus Nord CE 5G ที่มาบอกเล่าเก้าสิบกันสักหน่อย

สำหรับสเปคโดยภาพรวมแล้ว ยังคงมาพร้อมกับ Snapdragon 750G ซึ่งรองรับ 5G นั่นล่ะครับ ส่วนใหญ่ที่ผมใช้งานจากช่วงที่ผ่านมาก็ทั่วๆ ไปเลย ในช่วงที่ทำงาน Work from Home แบบนี้จริงๆ ส่วนใหญ่ก็ใช้ notebook ทำงาน ส่วนเจ้า OnePlus Nord CE 5G ก็เอามาใช้งานทั่วไป เปิดเว็บ ดูเฟสบุ๊ค ถ่ายรูปบ้าง เล่นเกมบ้าง ซึ่งสเปคอย่าง RAM 8GB นี่สบายเลย ส่วนพื้นที่เก็บข้อมูล 128 GB ก็พอใช้งานอยู่

ด้านการจัดการพลังงาน ด้วยตัว CPU ที่อยู่ตรงกลาง ก็ทำให้ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมหรือว่าการใช้กล้องถ่ายภาพ รวมถึงการใช้งานโดยภาพรวม ใช้งานได้ทั้งวัน คือผมอยู่บ้านก็ยังเหลือๆ เลยล่ะ อันนี้ก็เลยคิดว่าจากที่ใช้งานน่าจะตอบโจทย์ด้านแบตเตอรี่และระยะเวลาใช้งานได้ตลอดจนจบวันนะครับ กับแบตเตอรี่ที่ 4500 mAh ที่ถือว่าเยอะพอดูอยู่แล้วนะ

 

ด้านดีไซน์ อันนี้คือสวยเลยล่ะ โดยรุ่นนี้จะมีสีฟ้าที่ดูสวยงาม เป็นฟ้าครามหน่อยนั่นล่ะครับ ขอบตัวเครื่องตัดมน การแสดงผลเต็มหน้าจอ แต่ก็มีรูกล้องด้านหน้าที่ไปหลบอยู่ตรงมุม แต่ก็นะ อันนี้ก็เป็นเทรนด์ กล้องขนาด 16 ล้าน เซ็นเซอร์ก็ใหญ่ใช้ได้ล่ะครับ อันนี้ผมว่าน่าจะคุ้นชินกันดีกับกล้องด้านหน้าที่เป็นรูเจาะกับเทรนด์ปัจจุบัน  น้ำหนักจับถนัดมือดีครับ ตัวเครื่องก็ไม่ได้ใหญ่มาก แม้ว่าจะมีหน้าจอ 6.43 นิ้ว แต่ก็จับถือถนัดมือ แต่นิดนึงคือตรงฝาหลังผมรู้สึกว่าอาจจะลื่นไปนิด แต่ก็ไม่ได้แบบว่าลื่นจนถือหลุดมือ แต่ความลื่นของฝาหลังนั้นทำให้ไม่เป็นรอยนิ้วมือง่ายเสียมากกว่า ซึ่งการดีไซน์โดยรวมเรียกว่าเจ้า Nord CE 5G ก็ดูดี ดึงดูดใช้ได้เลยล่ะครับ ที่น่าจะสนใจอีกอย่าง คือเคสที่แถมมาให้ด้วย มีลวดลายที่ออกแบบมาเพิ่มเสน่ห์ให้เจ้า OnePlus Nord CE 5G ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว แน่นอนว่าผมชอบใส่เคส จับถนัดมือรู้สึกดีไม่ลื่นด้วย  พูดถึงหน้าจอสักนิด สำหรับรุ่นนี้คือได้รีเฟรชเรทมา 90Hz แล้วก็ถือว่าดีกว่าทั่วไป แต่เอาจริงถ้าเทียบกับปัจจุบัน ในสเปคกลางล่ะก็ อาจจะโดนเพื่อนๆ ที่อยู่ในราคาเดียวกันแซงเรื่องนี้ไป ซึ่งตรงนี้คือถ้า OnePlus คิดว่าจะผลักดันซีรีส์ Nord ให้รู้สึกจัดเต็มว่าเป็นเรือธงถอดด้ามออกมาใส่ไว้ในซีรีส์นี้ ก็อาจจะต้องจัดเต็มมากกว่านี้ล่ะครับ

 

ด้านการใช้งานซอฟท์แวร์ OxygenOS

หลายคนอาจจะเจอฟีดแบ็คจากหลายๆ รุ่นก่อนหน้าที่ดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่สำหรับผม เท่าที่ใช้งาน ก็มีความเสถียรดี เร็ว ลื่น น่าพอใจนะ โดยส่วนตัวแล้วยังประทับใจกับ OnePlus OxygenOS อยู่นะ อาจจะด้วยช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็สัมผัสได้ และอีกอย่างที่เห็นชัดเจนก็คือการอัปเดตจากที่ได้ใช้งานมากับเครื่องทดสอบนี่ก็มีอัปเดต แก้ไขปรับปรุงด้วย ซึ่งเค้าก็ทำการบ้านได้ดีนะครับในเรื่องนี้ ซื้อครั้งเดียว ใช้งานกันยาวๆ เลย

เรื่องของกล้อง

 

สำหรับรุ่นกลางแบบนี้ จะมีบางโหมดที่อาจจะประมวลผลไม่ได้เร็วทันใจเหมือนเรือธงจริง ส่วนโทนภาพ แสง รวมถึงสเปคกล้อง ก็เรียกว่าแทบจะยกจากเรือธงมานั่นล่ะครับ ได้กล้องมา 3 ตัว ความละเอียด 64 ล้านพิกเซลเป็นตัวหลักที่เป็นมาตรฐานละ ด้วยความละเอียดระดับนี้ และยังได้อัลตร้าไวด์ 8 ล้านพิกเซล พร้อมกับวัดความลึก 2 ล้านพิกเซลมาอีก เรียกว่าครอบคลุมการถ่ายภาพเกือบทั้งหมดแล้วล่ะ ซูมสูงสุด 10 เท่า มีซูมแบบออปติคอล  2 เท่ามาตรฐานสากล

ดูตัวอย่งาภาพถ่ายเล็กๆ น้อยๆ กันครับ

สรุป OnePlus Nord CE 5G

จากที่ได้ลองก็ต้องบอกว่าประทับใจเช่นเคยล่ะ กับ OnePlus แม้ว่าจะเป็นเครื่องระดับกลางแต่ก็เรียกว่า ถอดเอาของเรือธงมาใส่เอาไว้พอสมควร ฟีลลิ่งก็รู้สึกอยู่นะ ถ้าไม่ได้กางสเปค เอาไปใช้งาน คือด้วยความลื่นไหลเร็วได้ใจ เรื่องดีไซน์ก็สวยงามครับ ถือไปไหนได้ไม่ซ้ำใคร อาจจะมีเรื่องหน้าจอสำหรับผมแล้วรีเฟรชเรทถ้าไปที่ 120Hz จะดีมากเลย อาจจะมีแค่ตอนถ่ายภาพที่อาจจะมีบางจังหวะหรือบางโหมดที่ใช้เวลาโปรเซสนิดนึงก่อนจัดเก็บ แบบรู้สึกได้ แต่ภาพรวมด้วยราคาเริ่มต้น 12,990 บาท ก็คงเป็นอีกทางเลือกนึงล่ะครับ



ถูกใจบทความนี้  0