วันนี้มาชวนคุยเรื่องรถไฟฟ้า ได้เดินทางในช่วงวันหยุดที่ผ่านมาในพื้นที่ภาคอีสาน ด้วยรถยนต์ส่วนตัว ซึ่งก็เป็นที่มาที่ไปในหัวข้อนี้ แน่นอนว่าเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอย่างที่เรารู้กันว่า รถยนต์ หรือรถโดยสารที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยสาเหตุทั้งน้ำมัน ที่ช่วงนี้ขึ้นแบบได้ใจมาก และยังมีเรื่องของมลพิษ ที่ในเมืองคงรู้ดีว่ามีผลมากเลยทีเดียว อากาศที่เราหายใจกันมีแต่มลพิษทั้งนั้น โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจจาก Gartner ที่มีตัวบ่งชี้ชัดเจนว่ามีผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน ในปี 65 หรือปีนี้ จะเพิ่มมากกว่าปี 64 ก่อนหน้านี้ 2 ล้านคัน (รวมทั่วโลกและรวมรถแบบ hybrid ด้วย) ถ้าเทียบกับตลาดรวมแน่นอนว่าคงไม่เยอะ แต่ก็มีสัดส่วนและความต้องการที่เพิ่มขึ้น ด้วยหลายปัจจัยที่ส่งเสริมให้เราหันมาสนใจ ซึ่งอย่างองค์กร Zero Emission Vehicle Transition Council เค้าตั้งเป้าไว้ว่าปี 2583 หรืออีกประมาณ 18 ปี ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์จะต้องเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและปล่อยมลพิษออกมา = 0 คือบอกเลยว่ายากมาก แต่แน่นอนว่าการตั้งเป้าครั้งนี้ก็เป็นความเห็นร่วมกันของหลายฝ่ายในองค์กร และมีส่วนช่วยผลักดันนั่นล่ะครับ ไม่รู้ว่าประเทศไทยเรามีตัวแทนอยู่ในนั้นด้วยไหม แต่ถ้าทำได้จริง ก็ไม่รู้อีกว่าโลกของเราจะเปลี่ยนไปแค่ไหน เพราะทุกวันนี้ไม่ใช่แค่มลพิษ สภาพอากาศ และสิ่งแวดล้อม แน่นอนว่ารวมถึงภัยธรรมชาติก็รุนแรงขึ้นตลอดเวลา
ถ้าสังเกตุดูผู้จัดจำหน่ายปัจจุบันก็พยายามพลักดันเรื่องรถพลังงานไฟฟ้ามากขึ้นเหมือนกัน แต่ก็มีปัจจัยอย่างด้านราคาที่ดูแล้วยังไม่ลงมาถึงตลาดกลุ่มคนหมู่มากที่มองดูแล้วพร้อมที่จะตัดสินใจได้ทันที แน่นอนว่าปัจจัยหลักคือราคา ถ้าผู้ผลิตและจัดจำหน่ายโฟกัสเรื่องราคา ทำราคาเพื่อเพิ่มให้คนใช้งานได้เยอะๆ ในช่วงแรกก็คงดี ก็อาจจะเอาเทคโนโลยีอื่น พวก AI/Smart Machine Learing ต่างๆ ใส่ในตัว top เหมือนที่ทำกันก็ได้ แต่พื้นฐานการใช้งานและประโยชน์ที่จะลดมลภาวะต้องจัดเต็มได้แล้ว และสิ่งที่ภาครัฐหรือเอกชนที่เกี่ยวข้องก็ต้องผลักดันด้วยก็คือ จุดการชาร์จไฟฟ้าที่ต้องรองรับให้มากที่สุดและอย่างรวดเร็ว ผมดูแล้วก็คงไม่พ้นปั้มน้ำมันปัจจุบันที่มีอยู่แล้วทุกพื้นที่ ที่พร้อมให้บริการ หรืออีกทีที่เห็นชัดเจนที่มีทั่วประเทศก็คือ ร้านสะดวกซื้อต่างๆ ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ แต่ก็จะเห็นว่ามีพื้นที่จอดไม่มาก และหากจะชาร์จจริงๆ ก็ต้องใช้เวลา ดังนั้นอาจจะไม่ได้เหมาะกับลักษณะการชาร์จแบบเต็มๆ หรือไม่อีกทีก็บรรดาโรงแรม ที่พักทั้งหลายล่ะครับ แต่ดูท่าทางแล้วจะไม่เร็วนะในบ้านเรา แต่ต่างประเทศที่มีการรณรงค์ในทุกภาคส่วนและช่วยกันจริงจังเค้าก็เริ่มเปลี่ยนไปเยอะแล้วล่ะ และแน่นอนว่าเกี่ยวกับปริมาณไฟฟ้า ที่ใช้งานเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวเช่นเดียวกัน จะสังเกตว่ามีหลากหลายปัจจัย และหลายเหตุผล ที่ควรซื้อรถ EV มาใช้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับบุคคล ลักษณะการใช้งาน ที่สะดวก ประหยัด คุ้มค่า ช่วยส่วนรวมลดมลพิษ รักษาสิ่งแวดล้อมได้ ส่วนตัวก็คงในเมือง ส่วนวิ่งทางยาว ก็คงลำบาก ณ ปัจจุบัน ซึ่งส่วนตัวเอง หากเป็นคันถัดไปก็จะเลือกแบบ Hybrid (ปัจจุบันยังน้ำมันจัดเต็ม) ก่อนที่จะไป EV เต็มตัวพร้อมกับฟีเจอร์ล้ำๆ ที่ต้องบอกเลยว่ายังมีการพัฒนาตลอดเวลา เพราะถ้ารถยนต์ส่วนตัวการจะซื้อสักคัน คงเปลี่ยนไม่ง่ายเหมือน Smartphone และในช่วงแรกจะยังอยู่ระหว่างการพัฒนาจนกว่าจะเสถียรแบบสุดแล้วจริงๆ นั่นล่ะครับ คงไป Hybrid ช่วยลดมลภาวะระดับนึงก่อนแล้วค่อยไปแบบจัดเต็มในอนาคต เพื่อนๆ คิดว่าอย่างไรกันบ้างครับ คันต่อไปจะเป็น EV, Hybrid หรือ น้ำมันเหมือนเดิม
You must be logged in to post a comment.