รีวิว Vipose iFever Smart Thermometer ที่ใช้วัดไข้ จับอุณหภูมิ ได้ 24 ชั่วโมง

iFever-Review-001

สวัสดีครับ เทรนด์ของ Smartband วันนี้ผมว่ามาเกิน 100% เพราะมีราคาค่าตัวไม่แพงมากนัก แต่จริงๆ แล้วต้องบอกว่าเทรนด์ wearable device มากันทั้งหมดเลย วันนี้ผมมาแนะนำ และรีวิว เจ้า Vipose iFever อาจจะไม่ใช่ Smartband ที่ใช้แทรคแอคทิวิตี้อย่างที่เคยรีวิวกันไปนะครับ แต่ทว่าผมยกให้เป็น Smartband ในเรื่องของการวัดอุณหภูมิ เพื่อแทรคดูว่ามีไข้สูงแค่ไหน และแน่นอนว่าเมื่อสูงแล้ว เราจะได้จัดการป้องกันหรือแก้ไขได้อย่างทันท่วงที และแน่นอนว่าเหมาะสำหรับเด็กๆ อ้อ จริงๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร มีออกมาสักพักแล้ว แต่ทว่าพอดี ลูกไม่สบาย และบวกกับช่วงนี้หันมาสนใจ wearable device มากขึ้น เลยหาข้อมูลจนมาเจอเจ้า Vipose iFever นี่ล่ะครับ เลยเป็นเหตุที่มาแนะนำกัน

ด้วยวิวัฒนาการของเทคโนโลยที่ช่วยให้เรามีความสะดวกสบายมากขึ้น อีกเทรนด์นึงคือเรื่องของการแพทย์ ที่มีการรักษาด้วยอุปกรณ์ต่างๆ มากมาย ช่วยให้เราหายจากโรคต่างๆ แน่นอนว่าแพทย์ หรือหมอ เป็นผู้ที่มีประสบการณ์โดยตรงในการวิเคราะห์ ในการรักษาโรคต่างๆ แต่ถ้าหากคุณหมอได้รับข้อมูลที่ละเอียด มากกว่าข้อมูลที่เราบอกเล่าผ่านทางการสื่อสารทางคำพูด ซึ่งบางที จริงต้องบอกว่าส่วนใหญ่เสียด้วยซ้ำ ที่จำไม่ได้แน่ชัด หรือไม่แม่นยำ ซึ่งกับเจ้า Vipose iFever ที่มารีวิวและแนะนำกันวันนี้ จะช่วยให้เรามีข้อมูลที่ถูกต้องและแม่นยำ ไปคุยกับคุณหมอเพื่อวิเคราะห์อาการได้อย่างถูกต้อง

vipose-iFever-2

Vipose iFever มีหน้าที่อะไร?

เจ้า Vipose iFever ด้วยหน้าที่หลักเลย ก็คือ การวัดอุณหภูมิ หรือวัดไข้นั่นเอง ผู้ใหญ่อย่างเราๆ พอรู้ตัว ก็หายามากินได้เลย แต่ถ้าเกิดกับเด็กๆ ล่ะ ยิ่งสื่อสารไม่ได้ ก็ยิ่งลำบาก และหากใครมีลูกหรือเด็ก แล้วเกิดไม่สบายต้องวัดไข้ บางคนเอาปรอทมาวัดใต้ลิ้น หรือใต้รักแร้ บางทีเขาก็ไม่ยอม เจ้า Vipose iFever จึงมาช่วยตอบโจทย์เรื่องการวัดอุณหภูมิสำหรับเด็กๆ นั่นเอง จริงๆ จะเด็กโตที่สื่อสารได้แล้ว ก็สามารถใช้งานได้ ซึ่งอย่างที่เกริ่นล่ะครับว่า บางโรค หรือบางอาการ หากไข้ขึ้นๆ ลงๆ แต่ละช่วงเวลา บางทีก็อาจจะเป็นโรคที่ต้องรักษาเร่งด่วนก็ได้ เพราะหากอุณหภูมิขึ้นสูงมากๆ ก็อาจจะเกิดอาการชัก ซึ่งมีอันตรายไม่น้อยเลยนะครับ ดังนั้นการวัดอุณหภูมิจึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ของอาการไข้ต่างๆ

vipose-iFever-1

ประโยชน์ชอง Vipose iFever

เอาสรุปเลยว่า ทำให้เรารู้อุณหภูมิอย่างละเอียด เพื่อเก็บเป็นข้อมูลสำหรับนำไปให้หมอวิเคราะห์ เป็นสำคัญ อีกข้อนึงก็คือ สามารถตั้งเตือนได้ กรณีที่ช่วงเวลากลางคืน บางทีคนเฝ้าไข้อย่างเราก็เผลอหลับได้ ซึ่ง Vipose iFever มีระบบเตือน ให้เรารู้ได้ หากมีไข้ขึ้นสูงเกินที่กำหนด และไม่เท่านั้น Vipose iFever ยังมาตอบโจทย์เรื่องการสวมใส่ โดยที่เราสามารถสวมให้เด็กได้ทันที และไม่จำเป็นต้องถือหรือหนีบเอาไว้ เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน นั่นเอง

วิธีการใช้งาน

วิธีใช้งานก็เหมือนกับการวัดอุณหภูมิทั่วๆ ไป โดยที่เราสวมเอาไว้ที่จุดข้อพับต่างๆ เพราะบริเวณข้อพับจะเป็นจุดที่เกิดอุณหภูมิสูง ดังนั้นการแนะนำที่จะใช้งานจึงให้ใส่ไว้บริเวณรักแร้นั่นเอง เป็นจุดเดียวกับที่เราวัดด้วยปรอทวัดไข้นั่นล่ะครับ จากนั้นก็เข้าไปดูข้อมูลที่ smartphone ที่อยู่ในมือเราได้เลย โดยเชื่อมต่อผ่าน bluetooth จากนั้นก็ตั้งการเตือน และเก็บข้อมูลได้ทันที อีกทั้งยังสามารถเก็บข้อมูลเอาไว้บน cloud ได้อีกด้วย เรียกว่าใช้งานกันได้ยาวๆ มีประวัติเก็บเอาไว้แบบเป็นปีๆ เลย

และเมื่อเล่าอัตถประโยชน์ไปจนหมดแล้ว ก็มาถึง รีวิวเจ้า Vipose iFever กันเสียทีนะครับ

iFever-Review-002

เนื่องจากสั่งมาจากนอก ก็มาแกะกล่องกันก่อน แต่ทว่ากล่องที่เห็นนี่เยินมาเลย เนื่องจากการส่งแบบฟรีๆ นั่นเอง ทำให้ไม่ได้มีการป้องกัน และแพ็คเกจจิ้ง ก็เป็นกระดาษธรรมดาๆ ทำให้เป็นอย่างที่เห็น

iFever-Review-003 iFever-Review-004 iFever-Review-005 iFever-Review-006ซึ่งจริงๆ รอบๆ กล่องก็มีข้อมูลการใช้งานต่างๆ บอกเอาไว้หมดแล้วล่ะครับ  จริงๆ แพ็คเกจจิ้งนี่สวยดีนะ แต่ไม่ทนซะงั้น ฮ่ะๆ

iFever-Review-007

แกะกล่องออกมา ก็เห็นแค่ตัว Vipose iFever นี่ล่ะ ที่เหลือก็เป็นกล่องเปล่าๆ ไม่มีอุปกรณ์อื่นๆ แล้วล่ะ

iFever-Review-008 มาดูเจ้า Vipose iFever ขนาดเล็ก กระทัดรัด จริงๆ มีสีให้เลือกหลายสีนะครับ ต่างกันตรงขอบนะ แต่ที่สั่งมาคือขอบสีเขียว อันนี้แล้วแต่ชอบ

iFever-Review-013

 

ด้านหน้า ตัวหน้าจอขนาดเล็กมาก ไม่แน่ใจว่าเท่าไหร่เหมือนกัน แต่ว่าสำหรับแสดงผลตัวเลข ไม่กี่ตัว สำหรับแสดงอุณหภูมิ และสัญลักษณ์การเชื่อมต่อแค่นั้นเอง รวมๆ แล้วก็ใช้แค่สองสามบรรทัด และปุ่มที่ใช้งานก็มีแค่ปุ่มเดียว คือปุ่มเปิด ปิดแค่นั้น จบในขั้นตอนเดียว จะใช้งานก็กดเปิด จะเลิกใช้งานก็ปิด

iFever-Review-011

 

ด้านหลังเป็นที่ใส่ถ่าน จริงๆ ผมยังไม่ได้แกะออกมา พอดีเพิ่งได้มาแล้วก็มาทดสอบและรีวิวให้ดโูเลย ซึ่งตรงนี้ล่ะที่ไม่ต้องกังวล เพราะว่าแบตหรือถ่านที่ใช้เห็นจากรูปร่างแล้ว คงเป็น CR-2032 หรือไม่ก็ CR-2035 หาซื้อได้ทั่วๆ ไป ส่วนจะใช้งานได้นานแค่ไหนคงต้องทดสอบกันอีกทีล่ะครับ

iFever-Review-009

 

ส่วนของการรัดก็เป็นลักษระ ตะแข็บมะ ผมไม่รู้ว่าเค้าเรียกอะไร แต่ตัวที่ติดนี่ ก็เป็นคล้ายๆ ผ้าที่มีขน แล้วอีกฝั่งนึงจะเป็นตัวที่ติดกับขนได้สนิท ซึ่่งตรงนี้นี่ต้องบอกว่าถ้าเหงื่อออกเยอะก็ไม่แน่ใจว่าจะอยู่แค่ไหน และแน่นอนว่าไม่แนะนำให้โดนน้ำนะครับ แต่ด้วยการใช้งานแล้ว คงไม่ได้มีโอกาสไปเปียกน้ำสักเท่าไหร่ นอกจากเหงื่อ ส่วนด้านหลังจะสังเกตุเห็นปุ่่มเหล็กเล็กๆ ใช่ไหมครับ อันนี้ล่ะที่ใช้สำหรับเป็นตัววัดอุณหภูมิ

iFever-Review-012

ดูกันชัดๆ อีกที ถ้าใครรู้ว่าเค้าเรียกว่าอะไรก็บอกผมทีละกันครับ ฮ่ะๆ

iFever-Review-014

หน้าจอแสดงผล แบบชัดๆ มีแค่บอกอุณหภูมิเป็นหลัก แต่จริงๆ สามารถเชื่อมต่อผ่าน bluetooth เพื่อดูบน smartphone ได้เช่นกัน และต้องบอกว่าเป็นเรียลไทม์ด้วยนะ

iFever-Review-016 iFever-Review-017
ทดสอบลองใส่กับข้อมือลูกดู ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการทดสอบวัดอุณหภูมิตามปกตินะครับ ตอนนี้ยังไม่มีไข้ ถ้ามีไข้ก็ต้องใส่ที่ใต้รักแร้นั่นล่ะ ถึงจะชัวร์สุด ดูๆ แล้วก็น่ารักดี เหมาะกับเด็กๆ ส่วนผู้ใหญ่อย่างเราจะใช้ก็ใช้ไม่ได้เพราะว่าติดเรื่องขนาดของสายที่ออกแบบมาให้เด็กๆ โดยเฉพาะล่ะครับ

เอาล่ะ มาดูเรื่องการเชื่อมต่อใช้งานบน Smartphone บ้างดีกว่า

สำหรับ Vipose iFever นี่รองรับทั้ง Android และ iOS สามารถดาวโหลดแอพที่ชื่อ iFever ได้ผ่าน store ทั้งสองแพลตฟอร์มเลยนะ ฟรีๆ

iFever-Review-app-001-horz

จริงๆ เมื่อโหลดแอพมาเรียบร้อยแล้ว ก็มีคู่มือแนะนำกันตั้งแต่เริ่มต้นเลย เวลาจะใช้งานก็สวม iFever ให้เรียบร้อย จากนั้นก็เชื่อมต่อ bluetooth แค่นั้นเอง

iFever-Review-app-004-horz

ซึ่งข้อดีที่เราสามารถเลือกเก็บข้อมูลที่เคยวัดอุณหภูมิเอาไว้ มาย้อนดูภายหลังได้ และยังสามารถซิงค์ผ่าน account ที่เราสร้างขึ้นได้ด้วย อันนี้เรียกว่าแจ่ม

iFever-Review-app-008-horz

เริ่มต้นใช้งานก็จัดเลยครับ เชื่อมต่อผ่าน bluetooth เลือก iFever ทันที หลังจากนั้นก็ตั้งโปรไฟล์ของเด็กที่ใช้งาน แต่ถ้ามีแล้วก็ใช้งานได้ทันที

iFever-Review-app-009-horz

สำหรับเรื่องโปรไฟล์ ไม่แน่ใจว่ามีลิมิตเท่าไหร่ แต่จริงๆ สามารถเพิ่มเติมได้อีก นะ เรียกว่าซื้อมา 1 ชิ้นก็ตั้งโปรไฟล์ของลูกเอาไว้ทุกคนได้เลย หรือคนที่ใช้งานได้ทุกคน

iFever-Review-app-018-horz

การตั้งค่าอื่นๆ เช่นหน่วยเป็นองศาหรือไม่ บ้านเราใช้หน่วยนี้อยู่แล้ว องศาเซลเซียล มีบอกสถานะแบต รวมถึงสามารถอัพเกรดเฟิร์มแวร์ได้ แต่ที่ใช้งานมาก็ยังไม่มีการอัพเดทนะครับ รวมถึงการตั้งค่า Alert สำหรับการเตือนว่าลูกเรามีอุณหภูมิสูง หรือตัวร้อนเกินไป โดยผ่าน Smartphone ของเรานะ ที่ตัว iFever ไม่มี buzzer หรือลำโพง ก็จะไม่ดัง กรณีที่ต้องการใช้งานเดี่ยวๆ นี่ไม่สามารถเตือนด้วยเสียงผ่าน iFevr ได้นะ

iFever-Review-app-021-horz

ซึ่งเพิ่งทดสอบ จึงยังไม่มีกราฟที่ชัดเจนออกมาน่ะครับ แต่ทว่าอย่างที่เห็นเราสามารถดูย้อนหลัง หรือเก็บข้อมูลเอาไว้ได้ และแน่นอน หากเราเช็คตลอด 24 ชั่วโมง ตรงนี้อาจจะนำไปให้แพทย์วิเคราะห์ต่อได้ด้วย หรือจริงๆ หากเรามีเทอโมมิเตอร์ที่ใช้งานอยู่ ก็สามารถวัดแล้วมาใส่รายละเอียดเองก็ได้ด้วย รวมถึงแน่นอนว่าแชร์ผ่าน social ได้อีกต่างหาก แค่นี้ก็ครบเรื่องการใช้งานทั้งหมดแล้วล่ะครับ

iFever-Review-015

ผมแนะนำเลยว่าต้องมีติดบ้านเอาไว้ สำหรับ Vipose iFever ที่ราคาตอนนี้เช็คจากในบ้านเราเองมี lazada ขายอยู่ที่ประมาณ 1,790 บาทนะครับ สนใจก็ลองหาสั่งซื้อกันดู ที่เมืองนอกถูกกว่าครับ แต่ก็ต้องรอเรื่องการส่งของ ซึ่งจากที่อธิบายเอาไว้ข้อดีของเจ้า Vipose iFever นี่ผมว่ายังไงก็คุ้ม อาจจะแพงกว่าเทอโมมิเตอร์ปกติซะเยอะ แต่ประโยชน์ที่ได้คุ้มกว่า และทันสมัยมากกว่า ที่ชอบก็คงเป็นเรื่องของการแจ้งเตือนนี่ล่ะ เพราะปกติ เวลาลูกไม่สบาย ผมเผลอหลับประจำ ให้คุณแม่เป็นคนเฝ้าไข้แทน แต่ถ้ามีเจ้านี่ ก็หมดห่วง มีเตือนผ่าน smartphone ได้เลย รองรับทั้ง Android และ iOS แจ่มๆนะครับ ถ้ามีอะไรก็พูดคุยกันได้เลย

สมาชิกเว็บคลิ้กที่นี่ เพื่อไปพูดคุยกันต่อที่เว็บบอร์ด pdamobiz.com



ถูกใจบทความนี้  4