แกะกล่อง Samsung Galaxy Note 8 Orchid Gray

เปิดตัวและวางจำหน่ายมาได้พักนึงแล้วสำหรับสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นล่าสุด Samsung Galaxy Note 8 ซึ่งมีด้วยกัน 3 สีให้เลือกได้แก่ Midnight Black, Orchid Gray และ Maple Gold ซึ่งจนแล้วจนรอด (หรือไม่รอดกันแน่) ผมเองก็ได้จัดมาใช้งานเองหนึ่งเครืื่องจนได้ ในสีของ Orchid Gray ซึ่งหลายคนอาจเรียกว่าสีเทา จึงมาขอรีวิวแกะกล่องให้ได้ชมกันครับ 

Samsung Galaxy Note 8 Specs:

  • หน้าจอ Super Amoled ขนาด 6.3 นิ้ว ความละเอียด Quad HD
  • Octa Core (Quad 2.3GHz + Quad 1.7GHz) 10nm processor
  • Ram 6GB
  • หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง 64GB
  • รองรับ Micro SD Card
  • กล้องหลังคู่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลพร้อมระบบกันสั่นทั้งคู่ เป็นเลนส์ Wide F1.7 + Tele F2.4
  • กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
  • ขนาดตัวเครื่อง 162.5 x 74.8 x 8.6 มม.
  • น้ำหนัก 195 กรัม
  • กันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68
  • ถาดซิมแบบ Hybrid เลือกได้ว่าจะใช้งาน 1 sim + micro sd card หรือ 2 sims
  • Wi-Fi 802.11 a/b/n/ac 2.4/5GHz, VHT80 MU-MIMO
  • Bluetooth 5.0 LE up to 2Mbps
  • ANT+
  • NFC
  • Heart Rate Sensor
  • Fingerprint Scanner
  • Iris Scanner
  • แบตเตอรี่ขนาด 3,300mAh
  • Android 7.1.1 Nougat
  • ราคา 33,900 บาท
  • Color: Midnight Black, Orchid Gray, Maple Gold

กล่องของ Galaxy Note 8 นั้นจะเป็นกล่องสีดำซึ่งน่าจะเป็นกล่องสีนี้ทุกสีนะ แม้ตัวเครื่องที่ผมจัดมาจะเป็นสี Orchid Gray ก็ตาม

ด้านข้างจะมีเงาปากกาเกาะอยู่แบบนี้ พร้อมคำว่า DUOS เพื่อบ่งบอกว่ารองรับการใช้งาน 2 ซิม

ด้านหลังบอกสเปคเด่นๆ ของตัวเครื่องเอาไว้ครบ

แกะกล่องกันโดยการดึงปลอกด้านนอกออกก่อน ซึ่งบอกเลยว่าปลอกกล่องอันนี้มันแน่นมาก แน่นจนน้องพนักงานใส่กลับสภาพปลอกกล่องมีรอยเลยอ่ะ

เปิดกล่องมาต้องเจอ Note 8 นอนรออยู่แน่นอน

ยกเครื่องออกมาดูอุปกรณ์กันก่อน จะพบกับกล่องที่มีเข็มจิ้มถาดซิมแนบไว้แบบนี้

ภายในกล่องจะมีคู่มือการใช้งานและเคสใสแถมมาให้ในกล่องเลย เคสใสเป็นแบบแข็งและมีการเว้าในส่วนของปุ่มกดต่างๆ

ในส่วนของอุปกรณ์เสริมที่ให้มาในกล่องจะมี Adapter, หัวแปลง Micro USB to USB-C และ USB Connector

หูฟัง AKG สีดำ, สายชาร์จแบบ USB-A to C และไส้ปากกาเพียบ

Adapter ที่แถมจ่ายไฟแรงสุดที่ 9V 1.67A

สายชาร์จ/ซิงค์แบบ USB-A to C

หัวแปลงทั้งสองประกอบด้วยหัวแปลง Micro USB to C อันนี้ไว้ใช้กับสายเดิมที่มี แต่ไม่แนะนำเท่าไหร่เป็นไปได้ใช้สายตรงๆ อย่าแปลงจะดีกว่า เผื่อมันหลุดน่ะไม่ใช่ไรหรอก ฮ่าๆๆ ส่วนอีกตัวเป็น USB Connector ไว้ต่อแฟลชไดร์ฟก็ว่ากันไป

หูฟัง AKG สีดำหน้าตาดูดี มีแถมจุอีกสองคู่สองขนาดให้เปลี่ยน

ที่ตัวหูฟังสามารถกดรับสาย/วางสายได้ รวมถึงเพิ่มลดเสียงได้ด้วย

ไส้ S-Pen ให้มาเพียบ ใครที่ใช้ปากกาบ่อยๆ แล้วหัวมันทู่ก็เอาเจ้านี่แหละเปลี่ยนได้เลย มีตัวดึงให้พร้อม

ตัวเครื่อง Galaxy Note 8 สี Orchid Gray ด้านหน้าจะเป็นขอบดำเหมือนเครื่องสีดำ ซึ่งอันนี้ดีเพราะมันทำให้เครื่องดูดี

ด้านบนมีกล้องหน้าและ Iris Scanner ทางขวาของลำโพงสนทนา

ด้านล่างไร้ปุ่มบนตัวเครื่องเพราะไปอยู่บนหน้าจอหมดแล้ว

ด้านหลังตัวเครื่องสี Orchid Gray จะดูเทาๆ กว่า Galaxy S8/S8 Plus ที่จะออกอมม่วงหน่อยๆ แต่อันนี้ผมแปะฟิล์มด้านหลังไปละเพราะเดิมมันเป็นกระจกแบบภาพด้านล่าง จับทีรอยนิ้วมือขึ้นที ฮ่าๆ สวยแต่ต้องเช็ดบ่อยๆ

สีด้านหลังจริงๆ คือแบบนี้ คือมันสวยนะ แต่แลกกับการเป็นรอยนิ้วมือง่าย ไม่งั้นถ้าอยากโชว์เครื่องก็ใส่เคสใสที่แถมหรือหาเคสใสอื่นมาใส่ก็ได้

ขอบเครื่องจะเป็นโครเมียมสีเงินเงาวับสวยงาม โดยด้านบนตัวเครื่องมีช่องให้จิ้มถาดซิมออกมา

ถาดซิมยังคงเป็นแบบ Hybrid ที่ต้องเลือกการใช้งานระหว่าง 1Sim + Micro SD หรือ 2Sims

ด้านซ้ายมีปุ่มเพิ่มลดเสียงและปุ่ม Bixby (Bixby นี่ปิดได้นะถ้าใครเผลอเอามือไปโดนบ่อยๆ แต่พอใช้โน้ต 8 ผมไม่ค่อยโดนปุ่มนี้แฮะ)

ด้านขวามีปุ่ม Power

ด้านล่างมีช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน, ช่องเสียบสายชาร์จ/ซิงค์แบบ Micro USB, ไมโครโฟนสำหรับสนทนา, ลำโพงเครื่อง และช่องเก็บ S-Pen เอ้อ เยอะโคตร อยู่ตรงนี้หมดเลย

S-Pen นี่ดึงออกมาง่ายๆ เพียงแค่กด ก็สามารถดึงออกมาได้สบายๆ แถมตอนใส่กลับจะใส่หมุนไปหมุนมาก็ไม่มีปัญหา ยกเว้นเอาปลายปากกาเข้าอันนี้ไม่ใช่

S-Pen ของเครื่อง Orchid Gray จะมาในสีเทาด้าน ละม้ายคล้ายสีตัวเครื่องพอตัว แต่มันก็จะดูแปลกตาหน่อยๆ เพราะเราชินกับ S-Pen สีดำ

ด้วยพลังแห่งนวัตกรรม Infinite Display ที่ให้ตัวเครื่องดูเสมือนไร้ขอบหน้าจอผสานกับอัตราส่วนหน้าจอที่ยาวทำให้การจับถือมือเดียวนั้นสบาย แต่ถ้าใครนิ้วสั้นนี่อาจลำบากเวลาแตะขอบนล่างจอหากใช้งานมือเดียว แต่จากที่ใช้มาระยะนึงผมว่ามันถือมือเดียวสบายมากเลยล่ะ

ปิดท้ายการแกะกล่องด้วยภาพตัวเครื่อง Samsung Galaxy Note 8 กับเคสใสที่แถมในกล่องมาให้ อันนี้ผมถือว่าเป็นเรื่องดีนะ คืออย่างน้อยซื้อมาเสร็จก็มีเคสใส่เพื่อปกป้องเครื่องเลย บางทีการหาเคสหรือสั่งซื้อออนไลน์ก็ต้องใช้เวลาอีกหลายวันเหมือนกัน เดี๋ยวสมาร์ทโฟนสุดที่รักของเราเป็นรอยนี่เสียใจแย่เลยล่ะ



ถูกใจบทความนี้  68