รีวิว Samsung Gear S3 Frontier Smartwatch สุดหรู ดูงาม พร้อมความสปอร์ต

Samsung Gear S3 เป็นรุ่นล่าสุดที่ Samsung ภูมิใจนำเสนอ แต่ละรุ่นออกมาดีไซน์สวยๆ ทั้งนั้นเลย มาในรุ่นที่ 3 ยิ่งมีความเป็นที่สุดของเรื่องดีไซน์ การออกแบบที่สวยงาม มีสองเวอร์ชั่นให้เลือกคือ Classic ที่เหมาะกับการใส่ประจำวันและเน้นไปทางด้านการใส่ทำงานเสียมากกว่าเพราะสายที่จัดมาให้กับตัวเรือนเป็นสายหนัง แต่อย่างไรก็ตามสามารถปรับเปลี่ยนเสายได้ กับ รุ่น Frontier ที่เน้นทางด้านสปอร์ต หรือด้านกีฬาเสียมากกว่า สเปคทั้งสองรุ่นเหมือนกัน แต่ว่าผมชอบ Frontier มากกว่า ดังนั้นวันนี้ก็ขอจัดเอาเจ้า Samsung Gear S3 Frontier มารีวิวให้ชมกันนะครับ

Join PDAMobiz on Telegram

Gear แต่ละรุ่นที่ออกมาก็ดีไซน์ล้ำสมัยในยุคนั้นๆ และเจ้า Samsung Gear S3 Frontier ก็เป็นรุ่นนึงที่โดนใจสุดๆ คือแค่เห็นความงามด้านดีไซน์ ก็จบละ ตัดสินใจได้เลย ส่วนที่ไม่เลือกรุ่น Classic ก็ชื่บอกอยู่แล้วว่าคลาสสิค และด้วยปุ่มกดเป็นลักษณะเม็ดมะยม ที่เหมือนกับนาฬิกาทั่วๆ ไป จริงๆ มันดูหรูกว่า แต่เนื่องจากผมเน้นสปอร์ต เล่นกีฬา ออกกำลังกาย โดยเฉพาะวิ่ง ทำให้เจ้า Gear S3 Frontier โดนใจผมมากกว่า แต่แอบอยากได้สีเงินนะ ซึ่งจุดต่างอีกจุดนึงที่เราเลือกไม่ได้ก็คือ Gear S3 Classic เป็นสีเงิน ส่วนเจ้า Gear S3 Frontier เป็นสีดำ ซึ่งโดนใจผมมากกว่านั่นล่ะครับ ว่าแล้วก็มาชมรีวิว แนะนำกันดีกว่า

คืองานนี้คงอวยเต็มที่ เนื่องจากมันโดนใจจริงๆ ปกติกับ Samsung ไม่ว่าจะเป็น Smartphone หรือ Smartwatch ก็แล้วแต่ ดีไซน์สวยงามอยู่แล้ว แต่ในรุ่นแรกๆ ของ Samsung Gear ไม่ว่าจะเป็นรุ่นแรกหรือรุ่นที่ 2 ส่วนตัวแล้วยังไม่โดนแบบเต็มๆ เหมือน Gear S3 เลยล่ะครับ

สเปคเบื้องต้นของ Samsung Gear S3 Frontier

ระบบปฏิบัติการ Tizen OS 2.3.1
ขนาดหน้าจอ 1.3 นิ้ว ชนิดของกระจก Gorilla Glass SR+
ขนาดตัวเรือน 49 x 49 x 12.9 มม. หนัก 62 กรัม
CPU Exynos 7270 Dual-core 1.0GHz
RAM 768MB พื้นที่จัดเก็บภายใน 4GB
แบตเตอรี่ 380 mAh
การเชื่อมต่อ Bluetooth 4.2 , Wi-Fi b/g/n , NFC , MST , GPS
เซ็นเซอร์ Accelerometer , Gyro , Barometer , HRM , Ambient Light
ฟีเจอร์อื่นๆ กันน้ำ กันฝุ่น มาตรฐาน IP68 + MIL-STD-810G (มาตรฐานทางทหาร)
ราคา 12,900 บาท

มาแกะกล่องกันก่อน

ตัวกล่องออกแบบมาเป็นทรงกลม แต่ผมว่าใหญ่ไปหน่อย เพราะด้านในมีอุปกรณ์เล็กๆ ไม่กี่ชิ้นเอง แต่กล่องใหญ่ก็ดูหรูดี ธีมมาในแนวของ Frontier พอดี

อุปกรณ์ที่มีให้ในกล่อง มี docking สำหรับชาร์จ สายข้อมือสแปร์ และ adapter สำหรับชาร์จ

ตัว docking สีดำเหมาะกับเจ้า Gear S3 Frontier เลยครับ ฐานเป็นโลหะที่ดูหรูหราพอสมควร

ด้านหน้าของ docking มีไฟ LED ตอนชาร์จจะแสดงสถานะว่าเต็มแล้วหรือยัง

ด้านหลังมีแบรนด์ Samsung แปะเอาไว้ชัดเจน อีกส่วนนึงคือพอร์ทสำหรับชาร์จยังคงเป็น microUSB ปกติ

ลำดับแรกของความน่าสนใจเลยก็คือ ความสวยงามของตัวเรือน ซึ่งตัวเรือนเองเป็นสีดำ รูปทรงออกมาทางนาฬิกาข้อมือตามปกตินี่ล่ะครับ ตัวหน้าปัทม์เป็น Gorilla Glass SR+ ซึ่งป้องกันรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี นี่ใช้งานมาตั้งเกือบเดือนแล้วมั้ง ยังแจ่มอยู่เลย ส่วนตัว watchface อันนี้เปลี่ยนได้ตามสไตล์ มีให้โหลดให้ทำเล่นอีกเพียบ เจ้า Samsung Gear S3 เป็น Tizen OS ซึ่งแอพต่างๆ อาจจะไม่ได้อัพเดทครบถ้วนเหมือน Android Wear ซึ่งน่าะจะเป็นจุดเดียวเรื่องของแอพที่ไม่รองรับ แต่ก็พอใช้งานล่ะนะ

ด้านหน้าเมื่อปิดหน้าจอดูเรียบๆ ดี ผมว่าถ้าเป็นสีเงินจะสวยกว่านี้อีก แต่เสียดายที่สีเงินมีแตรุ่น Classic

ด้านหลังของตัวเรือน มีเซ็นเซอร์วัด HR(Heart Rate) ซึ่งการใช้งาน HR สามารถวัดได้แบบเกือบตลอดเวลา ไม่ได้มีการตั้งค่าอื่นๆ นอกจากเปิดหรือปิดการแทรค HR ทั้งวัน โดยการแทรค HR ทั้งวัน ทาง Samsung ดีไซน์มาให้ขณะที่มีการเคลื่อนไหวระหว่างวัน จะไม่มีการวัด HR แต่อย่างใด แต่เมื่อเราอยู่ในสภาวะนิ่งสักพักนึง ผมก็ไม่ได้จับเวลาว่ากี่ชั่วโมง ตัว HR จะทำงานทันที ซึ่งจะมีประโยชน์ก็ตอนนอนนั่นล่ะครับ แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามีใครอยากใส่นอนด้วยหรือเปล่า แต่วัดออกมาเป็นระยะๆ เลยนะ

ส่วนสายสามารถเปลี่ยนได้ไม่ยาก ขนาดสาย 22 มม. โดยในตัวกล่องมีสายมาให้อีกเส้นเผื่อคนข้อมือใหญ่ เล็กไม่เท่ากัน หรือจะไปหาสายนาฬิกาที่โดนใจมาเปลี่ยนก็ได้ เปลี่ยนเองไม่ได้ก็ให้ร้านนาฬิกาทั่วๆ ไปเปลี่ยนได้เลยนะครับ แต่ผมว่าสายที่ให้มากับตัวเรือนก็สวยดีอยู่แล้ว

สายด้านหลังจะมีสีดำเรียบๆ

แต่ด้านหน้าสายจะเป็นลายแบบนี้ล่ะครับ ก็สวยดีนะ สายเป็นลักษณะน่าจะเป็นยางอย่างดี แต่อย่างนึงคือน้ำหนักนี่ถือว่าหนักใช้ได้เลย เวลาจะเอาออกไปวิ่งด้วยนี่ ก็แอบคิดนิดนึงเรื่องน้ำหนัก แต่ก็เหมาะกับการใส่ทำงานประจำวัน เพราะหลายๆ เรือนก็น่าจะมีน้ำหนักประมาณนี้ล่ะ

ด้านหน้าที่เป็น Bezel หรือขอบของตัวเรือน (จริงๆ เขาแปลว่าหนามเตย) ที่เป็นหนามนั่นล่ะ คือออกแบบมาให้หมุนรอบได้ ทั้งด้านซ้ายและด้านขวามือ เพื่อเปลี่ยนเมนูที่หน้าจอไปมา ผมว่าสะดวกดี ถึงแม้ว่าจะทัชสกรีนได้ก็ตาม แต่ด้วยขนาดหน้าจอ การทัชกรีนในบางครั้งก็อาจจะมีข้อจำกัด ซึ่งการหมุนหนามเตยรอบๆ นี่ล่ะง่าย และรวดเร็ว

ปุ่มกดด้านข้าง ที่ต่างจากรุ่น Classic สำหรับรุ่น Frontier เป็นปุ่มสี่เหลี่ยมผืนผ้าเรียบๆ สองปุ่ม คือปุ่ม Enter และ Back นั่นเอง

อีกด้านก็เรียบๆ ไม่มีอะไร ไม่รู้สิ แต่ผมว่าโดยองค์รวมแล้ว งามมาก

Watch face ที่อยากจะเปลี่ยนเป็นแบบไหนก็เลือกเองได้เลย ใน store มีให้โหลด หรือจะเสียตังค์ซื้อก็มีนะ

ลองใส่ที่ข้อมือสักหน่อย ดูแจ่ม น่าพอใจกับราคา 12,900 บาทนะครับ

ตัวล็อคสายก็แน่นหนาดี สายใส่สบาย อีกอย่างที่ผมเลือก Gear S3 Frontier ก็คือเรื่องสายนี่ล่ะ เพราะ Classic แถมสายหนัง ซึ่งเวลาออกกำลังกายเหงื่อย้อยเลย และไม่ชอบปุ่มกดที่เหมือนเม็ดมะยมนั่นล่ะ ดูหรู แต่ไม่สปอร์ตพอ

มีที่สวมสายอยู่สองชิ้น เรียกว่าถ้าสายยาวเกินไป ก็สามารถใส่กระชับได้ สายไม่หลุดไปมาแน่นอน

ส่วนของเมนูต่างๆ มีให้เลือกเพียบ มีสร้างการเตือนหรือ Notification ได้ด้วย จริงๆ แล้วการใช้งาน ควรซิงค์กับ Smartphone ซึ่งข้อดีก็คือ สามารถเชื่อมต่อกับ Smartphone ได้ทั้ง Android และ iOS ส่วนของ Android ก็ไม่จำเป็นต้องเป็น Samsung Device ซะด้วย ผมว่าอันนี้แจ่มเลย ถ้าล็อคต้องใช้งานกับ Samsung Device เหมือน Gear รุ่นแรกๆ ผมว่าก็ไม่ไหวแฮะ และนี่เพิ่งอัพเดทใช้งานกับ iOS หรือ iPhone ได้อีกด้วย แต่ไม่รู้ว่าสาวกผลไม้จะใช้หรือเปล่านะ

แน่นอนว่าสามารถบอกแคลอรี่ที่เผาผลาญในแต่ละวันได้

จำนวนก้าวที่สามารถตั้งได้ว่าวันนึงจะไปถึงจุดหมายที่กี่ก้าว ส่วนใหญ่มาตรฐานก็คือ 10,000 ก้าวนั่นเอง

ที่น่าสนใจสำหรับ Gear S3 Frontier ก็คือ บารอมิเตอร์ บางคนหรือบางกีฬาก็ต้องการวัดพวกความกดอากาศเหมือนกันนะ

สามารถเชื่อมต่อกับ Flipboard เพื่ออ่านข่าวได้ด้วย

เชื่อมต่อกับ Smartphone แล้วจะเพิ่มความสามารถได้หลายอย่าง ซึ่งจริงๆ แล้วการใช้งานจำเป็นต้องซิงค์นะครับ

ทิ้งท้ายด้วยรีวิววีดีโอแบบเต็มๆ ก็แล้วกันนะ

สรุปการใช้งานกันสักหน่อย

ผมว่าเรื่องดีไซน์ ทุกคนให้ผ่านหมดแน่นอน ฟีเจอร์ต่างๆ ก็เพียบ ไม่ว่าจะกันน้ำกันฝุ่น ตากฝนเปียกปอนแค่ไหนก็สบายๆ แต่ใส่ว่ายน้ำ อันนี้ไม่แนะนำล่ะนะ ถึงแม้ว่ามาตรฐานจะได้ก็ตาม แต่กีฬาที่แทรคได้ก็ไม่มีว่ายน้ำซะด้วย นั่นคือ Samsung ไม่แนะนำและไม่รับประกันเรื่องนี้ การใช้งานอื่นๆ ผมว่าถือว่าเป็น Smartwatch ที่สุดหรู ดูงาม พร้อมความสปอร์ต ครบครันจริงๆ สามารถฟังเพลงได้ด้วยนะ แต่ว่าแบตอาจจะลดลงเร็วไปนิดนึง เรื่องแบตเตอรี่นี่ก็ใช้งานได้ประมาณ 2 วันกว่าๆ ไม่ถึง 3 วันแน่นอน ดังนั้นสองวันชาร์จทีนึง หากต้องใส่นอนแล้วเราไม่ได้ชาร์จ วันที่ 3 ก็จะอดใส่ตอนนอนนะะครับ ส่วนอื่นๆ ก็จะมีเรื่องการแทรค HR ที่ควรจะแทรคได้ทั้งวัน มากกว่าจะแทรคตอนที่ไม่เคลื่อนไหว แต่ก็อย่างว่าหากแทรคทั้งวันแบตก็อาจจะน้อยลง การใช้งานร่วมกับ device อื่นๆ ที่ไม่ต้องเป็น Samsung อันนี้ปลดล็อคมาให้ถือว่าดี และดีกว่านั้นตรงที่ใช้งานกับ iOS ได้แล้วหลังจากประกาศมาตั้งนาน เพิ่งจะมาใช้งานได้ไม่นานนี้เอง ผมว่าเป็นอะไรที่อะเมซซิ่งนะ เพราะ Samsung กับ Apple อย่างที่รู้ว่าแข่งกันอยู่นั่นล่ะครับ

การใช้งานออกกำลังกาย มีกีฬาให้เพียบ เยอะมาก ยังไงจะมาต่อในตอนถัดไปก็แล้วกันนะครับ