สำรวจตลาดอาเซียน-คนไทยถือบัตรเครดิตต่ำ โอกาส e-Wallet เติบโตสูง ทรูมันนี่จับกลุ่มคนซื้อสินค้าดิจิทัล มั่นใจลูกค้าปีนี้ทะลุ 2 ล้านราย

TMN-Wallet-Info-Graphic

  ทรูมันนี่ เผยตัวเลขผู้ใช้บัตรเครดิตในอาเซียนและในประเทศไทยมีจำนวนน้อย คิดเป็นสัดส่วนรวมต่ำกว่า 10% ของประชากร พร้อมเปิดพฤติกรรมผู้บริโภคนิยมสินค้าดิจิทัลและออนไลน์มากขึ้น เป็นโอกาสเติบโตของ e-Wallet เชื่อมั่นลูกค้าปีนี้เพิ่มถึง 2 ล้านราย

 

K Wisanu Pic

นายวิษณุ ศรีเจริญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัท แอสเซนด์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า กลุ่มประเทศอาเซียนและประเทศไทย มีอัตราการใช้งาน e-Wallet เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะสามารถอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ในการซื้อสินค้าดิจิทัล เช่น แอพพลิเคชั่น บนแอพสโตร์ และกูเกิลเพลย์ รวมถึงช้อปสินค้าออนไลน์บน e-Commerce เนื่องจากสินค้าและบริการเหล่านี้จำเป็นต้องใช้บัตรเครดิต แต่จำนวนผู้ถือบัตรเครดิตคิดเป็นสัดส่วนต่ำว่า 10% ของจำนวนประชากรในอาเซียนที่มีกว่า 600 ล้านคน ซึ่งในประเทศไทยมีจำนวนผู้ถือบัตรเครดิตเพียง 10 ล้านรายเท่านั้น

 ดังนั้น สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นตลาดที่ผู้บริโภคมีความเข้าใจสินค้าประเภทนี้แล้ว จึงมีโอกาสเติบโตสูงมากในปีนี้ ประเมินจำนวนผู้ใช้งานเบื้องต้น พบว่า มีผูัใช้กูเกิลเพลย์ประมาณ 20 ล้านราย แอพสโตร์ประมาณ 16 ล้านราย แต่มีบัตรเครดิตประมาณ 10 ล้านราย ใช้งาน iBanking ประมาณ 8 ล้านราย และใช้งาน mBanking ประมาณ 1 ล้านราย ขณะที่ปัจจัยบวกที่มาเสริมตลาด ส่วนสำคัญคือนโยบายจากภาครัฐเรื่อง National e-Payment ที่ส่งเสริมให้เกิดการใช้งาน e-Wallet อย่างแพร่หลาย มีการสร้างความรู้ความเข้าใจ รวมถึงกระแส FinTech ที่มาแรงมากตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าตลาดรวมจะเติบโต และเป็นโอกาสที่ e-Wallet จะเติบโตขึ้นอีกมาก

 ในส่วนของตลาดต่างประเทศที่ทรูมันนี่มีแผนรุกไปยังประเทศในกลุ่ม AEC ได้เปิดบริการแล้ว 6 ประเทศ คือ ไทย, พม่า, กัมพูชา, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม และมีแผนจะเปิดอีก 2 ประเทศในปีนี้ คือ ลาว และ มาเลเซีย ซึ่งด้วยตัวเลขผู้ใช้บัตรเครดิตที่ต่ำกว่า 10% ของประชากร และตัวเลขผู้ใช้บริการธนาคาร (รวมบริการบัญชีธนาคาร, การลงทุน และประกัน) ที่ต่ำกว่า 80% ของจำนวนประชากร เป็นโอกาสในการรุกตลาดของทรูมันนี่ด้วยเช่นเดียวกัน

 นายอภินันท์ ดาบเพ็ชร ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด กล่าวว่า จากการสำรวจพฤติกรรมคนไทยพบว่า กลุ่มคนที่นิยมซื้อสินค้าดิจิทัลสูงที่สุด เป็นกลุ่มเด็กนักเรียน วัยรุ่น และวัยเริ่มต้นทำงาน เพศชาย อายุ 13-22 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังไม่มีบัตรเครดิต แต่นิยมซื้อแอพพลิเคชั่นต่างๆ บนออนไลน์ มีความถี่ในการซื้อเฉลี่ย 4 ครั้งต่อคนต่อเดือน และส่วนใหญ่จะซื้อแอพพลิเคชั่นเกม และไอเทมในเกม (in-app purchase) ในราคาประมาณ 3-5 เหรียญ หรือ 100-180 บาท ทรูมันนี่ วอลเล็ต จึงเข้ามาตอบโจทย์ในส่วนนี้ เพราะสามารถใช้กระเป๋าเงินทรูมันนี่ วอลเล็ต ในการผูกบัญชีแทนบัตรเครดิตได้ ไม่ว่าจะเป็น การซื้อแอพพลิเคชั่นบนแอพสโตร์หรือกูเกิลเพลย์ การซื้อสินค้าในเว็บไซต์ การผูกบัญชีทรูมันนี่ วอลเล็ตเข้ากับบัญชี PayPal ซึ่งนอกจากจะเป็นการเพิ่มช่องทางการชำระเงินที่ให้กับผู้ที่ไม่มีบัตรเครดิตแล้ว ระบบยังมีความปลอดภัย ที่สามารถสั่งเปิด-ปิดการใช้งานบัญชีทรูมันนี่ได้อย่างง่ายดาย และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ เพราะเงินจะถูกลิมิตให้ใช้ตามจำนวนที่เติมเข้าไปในบัญชีทรูมันนี่ วอลเล็ตเท่านั้น

“ในปีนี้ ทรูมันนี่ วอลเล็ต จะขยายบริการให้ครอบคลุมในทุกกลุ่มลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเกมเมอร์ ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ของทรูมันนี่ จะมีการจัดแคมเปญและโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนนี้ ได้จัดโปรโมชั่น Cash Back ให้ลูกค้าที่ซื้อรหัสบัตรเงินสด ผ่านทรูมันนี่ วอลเล็ต ได้รับเงินคืนกลับสูงถึง 3% ทุกรายการ และจัดแคมเปญต่อเนื่องในเดือนพฤษภาคมด้วยแคมเปญซื้อแอพในราคาบาทเดียว รวมถึงให้ลูกค้าสามารถซื้อเกมบนสตรีมได้อีกด้วย ด้วยบริการที่ครบวงจร สามารถตอบโจทย์ให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม มีความสะดวกสบายสามารถใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา ทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีลูกค้าเข้ามาใช้งานทรูมันนี่ วอลเล็ต จากปัจจุบันมียอดผู้ใช้งานประจำกว่า 8 แสนราย เพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านรายภายในสิ้นปีนี้อย่างแน่นอน” นายอภินันท์ กล่าวสรุป



ถูกใจบทความนี้  1