Oppo ปล่อย Phablet จอใหญ่ยักษ์เอาใจคนชอบพกเครื่องเดียวแต่ได้ทั้งจอใหญ่ ทั้งกล้องดี ทั้งใช้งานได้ 2 ซิม และไม่ต้องพก Tablet อีกเครื่องกับ Oppo R7 Plus ซึ่งสเปคตัวเครื่องเองก็ถือว่าจัดเต็มเช่นกันกับหน้าจอ Full HD ขนาด 6 นิ้ว, Snapdragon 615 Octa-core, Ram 3GB ฉะนั้นการใช้งานรวดเร็วทันใจแน่นอน ส่วนกล้องก็จัดมา 13 ล้านพิกเซลแถมกล้องหน้าอีก 8 ล้าน แต่จะดีจริงแค่ไหน เชิญอ่านต่อ……
Oppo R7 Plus Specifications:
– หน้าจอขนาด 6 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1920x1080p 367ppi)
– Snapdragon 615 Octa Core (Quad-core 1.5 GHz Cortex-A53 & quad-core 1.0 GHz Cortex-A53)
– GPU Adreno 405
– Ram 3GB
– หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง 32GB
– รองรับ Micro SD Card (หากใช้ซิมการ์ดเดียว)
– รองรับ 2 ซิม (หากไม่ใช้ Micro SD Card)
– กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล (เซ็นเซอร์ Schneider-Kreuznach), Laser Focus, Dual Flash LED
– กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
– Android 5.1.1 Lollipop (Color OS2.1)
– ขนาดตัวเครื่อง 158 x 82 x 7.8 mm.
– น้ำหนัก 192 กรัม
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
– รองรับ VOOC ขาร์จแบตเตอรี่เร็วเพียง 30 นาทีก็ได้แบตเตอรี่มา 75% แล้ว
– ระบบเสียง Dirac HD ให้การฟังเพลงฟินทุกขณะเสียบหูฟัง
– แบตเตอรี่ขนาด 4,100mAh
– ราคา 16,990 บาท
1.พรีวิวตัวเครื่อง
Oppo R7 Plus ที่ได้มารีวิวนั้นเป็นสีทองครับ ฉะนั้นด้านหน้าตัวเครื่องก็จะเป็นสีขาว
ส่วนที่ทองคือด้านหลังและขอบของตัวเครื่องครับ
เหนือหน้าจอมีลำโพงสำหรับสนทนา ทางซ้ายเป็นกล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ทางขวาก็เซ็นเซอร์ที่เอาไว้ให้หน้าจอดับเวลาคุยโทรศัพท์ และขวาสุดจะมีไฟแจ้งเตือน LED เล็กๆ สีขาวสีเดียว
ด้านล่างหน้าจอมีเพียงโลโก้ Oppo ถูกสกรีนเอาไว้เท่านั้นครับ ส่วนปุ่มนั้นเป็นแบบ On-Screen
ด้านหลังตัวเครื่องมีกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล, Laser Focus และไฟแฟลช คู่ ใต้กล้องก็จะมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ซึ่งบอกเลยว่าเจ๋งมาก
ด้านล่างของหลังเครื่องมีเพียงลำโพงอยู่
ด้านบนตัวเครื่องมีช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5มม. และไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวนเวลาสนทนา
ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีปุ่มเพิ่มลดเสียง
ด้านขวามีปุ่ม Power และช่องใส่ซิมที่เป็นแบบ Hybrid คือใส่ได้ทั้งซิม 2 ซิมหรือจะใส่ 1 ซิมและ Micro SD Card ก็ได้
ด้านล่างตัวเครื่องมีช่องเสียบสายชาร์จและไมโครโฟนสำหรับสนทนา
ลองถือดูจะรู้ว่าหน้าจอ 6 นิ้วนี่มันใหญ่มากจริงๆ หากจะใช้งานมือเดียวระวังเครื่องตก
การออกแบบเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือทำมาได้ดีมาก คือวางไว้ในส่วนของด้านหลังเครื่องซึ่งปกติเวลาเราจับเครื่องขึ้นมามือก็จะไปโดนอยู่แล้ว
เปรียบเทียบขนาดระหว่าง R7 Plus และ R7 Lite
พี่น้องที่คลอดออกมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกันแต่ขนาดนั้นห่างกันราวฟ้าเหว ฮ่าๆ คือ R7 Plus (จอ 6 นิ้ว) และ R7 Lite (จอ 5 นิ้ว) นี่เอง
การออกแบบทั้งหลายนี่เรียกว่าเหมือนกันเกือบหมดเลยล่ะ
จะต่างก็ตรงการวางปุ่มเพิ่มลดเสียงและ Power ซึ่ง R7 Plus กับ R7 Lite จะสลับข้างกัน
2.User Interface, Fingerprint Scanner, Gesture, Music Player & Benchmark
User Interface (UI): Oppo ได้ทำ UI ของตัวเองมาตั้งแต่ต้นแล้วครับหรือก็คือมีการทำ UI ครอบของเดิมอีกทีนึง ซึ่งในส่วนของ Launcher นั้นจะเป็นแบบหน้า Home หน้าเดียวเลย ไม่มีหน้า App Drawer (ถ้านึกไม่ออกก็คือเหมือนกับ iPhone น่ะครับ) ฉะนั้นเราจะต้องจัดการเรียงแอพฯ จัดเข้า Folder รวมถึงใส่ Widget เอาเองที่หน้านี้เลย ไม่ต้องมาลากแอพมาสู่หน้า App Drawer เฉพาะแอพที่ใช้บ่อยๆ ครับ
Status Bar
Status Bar: เรียบง่ยไม่มีอะไรแปลกไปจากเดิมครับคือลากลงมาจะเห็น Toggle ทางลัดในการเปิดปิด Wi-Fi, Bluetooth, etc. พร้อมเห็นการแจ้งเตือนต่างๆ ที่เข้ามาในตัวเครื่อง แต่หากลากลงมาอีกครั้งจะเห็น Toggle ทั้งหมด
Theme Store
Theme Store: Oppo มีคลังแสงแห่ง Theme ให้เลือกสรรมากมายสำหรับคนที่ชอบเปลี่ยนหน้าตาของ User Interface ครับ
Fingerprint Scanner
Oppo R7 Plus มาพร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านหลังตัวเครื่อง ซึ่งหากจะใช้งานก็จะต้องเข้ามาตั้งค่ากันก่อนที่ Setting > Fingerprint and Lockscreen จากนั้นก็ทำการสแกนลายนิ้วมือเราลงไปเลยครับเพียงแค่แตะ ๆ ๆ ไปเรื่อยๆ จนครบขั้นตอนเท่านั้น จากนั้นก็ใส่ Password เพื่อป้องกันเวลาที่เราสแกนนิ้วไม่ติดนะ
เวลาใช้งานก็ยิ่งง่ายครับ หยิบเครื่องขึ้นมาปุ๊บ นิ้วชี้เราจะอยู่ตรงเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่แล้ว ซึ่งเซ็นเซอร์ของ Oppo เนี่ยเริ่ดมากครับ คือเราไม่ต้องมานั่งกดปุ่มให้จอติดแล้วสแกนลายนิ้วมือ ตอนที่หน้าจอดับอยู่นี่ล่ะ เอานิ้วแตะปุ๊บ หน้าจอปลดล็อคให้ปั๊บเลย
Gesture & Motion
Oppo จัดเต็มกับ Gesture มาเช่นเคยมีทั้ง Screen-off, Screen-on gesture และ Smart Call ดังนี้
Screen-off gesture:
– Double Tab to wake-up
– Draw O to start camera
– Music Control
– ทั้งนี้ยังสามารถเพิ่ม screen off gesture ได้อีกนะ โดยเลือกเอาว่าจะวาดอะไรเพื่อเปิดอะไร
Screen-on gesture:
– Activate the camera with multi-finger (เปิดกล้องโดยการลากนิ้วสามนิ้วเข้าหากัน อันนี้ใช้ยากอยู่)
– Double tab to lock screen (แตะปุ่มโฮมสองครั้งเพื่อล็อคหน้าจอ)
– Gesture Screenshot (ใช้สามนิ้วปาดขึ้นหรือลงก็ได้เพื่อจับภาพหน้าจอ)
– Adjust Volume with two fingers (ใช้นิ้วสองนิ้วปาดขึ้นหรือลงเพื่อเพิ่มลดเสียง)
– Single-handed operation (ย่อขนาดหน้าจอลงมาเพื่อให้ใช้งานมือเดียวได้สะดวกยิ่งขึ้น)
Smart Call:
– Auto-answer by motions (ขณะมีสายเข้าเอามาแนบหูก็เป็นการรับสายทันที)
– Switch the speaker by motions: (แนบหูก็เป็นโหมดใกล้หูพอเอาห่างหูก็เปิด speaker ทันที ขณะโทรศัพท์)
– Flip to mute (ขณะมีสายเข้าคว่ำซะ เสียงเรียกเข้าจะเงียบลง)
Music Player
Music Player: เครื่องเล่นเพลงของ Oppo เรียบง่ายและใช้งานง่ายมากครับ เข้าไปก็เลือกเอาเลยว่าจะเล่นเพลงทั้งหมดหรือเพลงโปรด เสร็จก็จะจิ้มเพลงที่อยากฟังได้เลย ทั้งนี้ยังมาพร้อมโหมด Dirac HD Sound (ซึ่งใช้ได้เฉพาะตอนเสียบหูฟัง) ที่จะช่วยให้เสียงเพลงเวลาเราฟังนั้นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดครับ คือเรียกได้ว่าฟังเพลงบน Oppo แล้วนี่ฟินจริงๆ เสียงดนตรีมาครบ เหมือนกับมีดนตรีสดมาเล่นตรงหน้าเรายังไงยังงั้น
Benchmark
ทดสอบประสิทธิภาพผ่านแอพ Benchmark ต่างๆ ได้ผลดังนี้
– Antutu: 37,035
– Geekbench: Single Core 714, Multi-Core 3146
– Quadrant: 24,167
– Multitouch 10 จุด
3.กล้องถ่ายรูป
Oppo R7 Plus มาพร้อมกล้องถ่ายรูปความละเอียด 13 ล้านพิกเซล, Laser Focus และไฟแฟลช LED คู่ เรื่องการโฟกัสนี่ทำได้เร็วดีครับ เนื่องจากพลังแห่ง Laser Focus นี่ล่ะ หน้าตาการใช้งานกล้องก็เรียบง่ายเช่นเคยครับ มีโหมดให้เลือกถ่ายรูปมากมายเหมือนเดิม
แต่ครั้งนี้ Oppo จะไม่จัดโหมดถ่ายรูปมาเต็มเครื่องเหมือนแต่ก่อนครับ แต่จะใส่มาเพียงบางส่วนเท่านั้น ซึ่งโหมดอื่นๆ ที่เคยนำเสนอมานั้นเราสามารถไปเลือกโหลดเพิ่มเอาเองได้ด้วยครับ เช่น Super Macro, Ultra HD, Raw, Expert Mode, ฯลฯ
กล้องหน้ายังคงมาพร้อมกับโหมด Beauty หน้าสวยสุดเทพเช่นเคย ซึ่งก็สามารถปรับได้ตั้งแต่ 0 – 100% เลยทีเดียว อยากเสริมความสวยกันแค่ไหนก็จัดไปตามสะดวก แต่ผมชอบโหมด Beauty ของ Oppo นะครับ หน้าใสแบบไม่หลอกลวงมากดี ฮ่าๆ
ทั้งนี้บนทั้งสองรุ่นยังมีโหมดถ่ายรูปอื่นๆ อีกด้วยนะครับอย่างเช่นกล้องหน้าเองก็สามารถใช้โหมด Ultra-HD ถ่ายรูปเอาความละเอียดสูงๆ ได้อีกด้วย
…
จากนั้นขอเชิญชมตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องเช่นเคยครับ ทุกภาพไม่ได้มีการตกแต่งใดๆ เพิ่มนอกจากลดขนาดลงและใส่ลายน้ำเข้าไปครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Oppo R7 Plus
ภาพบนโหมด Auto ภาพล่างโหมด HDR
ภาพบนโหมด Auto ภาพล่างโหมด HDR
ภาพพาโนรามาสามารถจิ้มเข้าไปดูรายละเอียดภาพได้เลยนะครับ
4.การเล่นเกมส์
ทดสอบเล่นเกมส์บน Oppo R7 Plus ด้วยเกมส์ 2 เกมส์คือ Line Cookie Run และ Implosion ซึ่งเอาจริงๆ โดยสเปคแล้วบอกเลยว่าหายห่วงมากเรื่องการเล่นเกมส์เพราะใช้ Snapdragon 615 Octa-Core, GPU Adreno 405, Ram 3GB ซึ่งเหลือเฟือมากสำหรับการเล่นเกมส์ในปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นชิปเซ็ตตลาดทำให้ไม่ต้องกังวลว่าเกมส์จะไม่รองรับอีกด้วย
ซึ่งผลทดสอบจากการเล่นเกมส์ก็ปรากฎอย่างที่คาดครับคือเล่นได้ลื่นดี ไม่มีกระตุกเลยทั้งสองเกมส์ แม้จะเล่นเกมส์ Implosion ที่เป็นเกมส์เดินลุยๆ ฟันๆ และต้องใช้กราฟฟิค 3D งามๆ ก็ตามก็สามารถทำได้อย่างไม่มีที่ติ
สรุป: Oppo R7 Plus เป็นหนึ่งใน Phablet ที่ครบครัน และถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคาอยู่ครับ จากการที่ทดสอบใช้งานมาราว 1 สัปดาห์ไม่พบปัญหาใดๆ บางทีแอบตกใจด้วยซ้ำว่า เฮ้ย Snapdragon 615 ทำไมไม่ร้อนเลย อันนี้น่าแปลกมากครับเพราะจากที่เคยทดสอบมาส่วนใหญ่ Snapdragon 615 จะร้อนง่ายมาก อันนี้ต้องเล่นเกมส์หนักๆ ก่อนถึงจะร้อนล่ะนะ ส่วนเรื่องแบตเตอรี่ก็อึดเว่อร์ๆ ครับ คือวันนึงเช้าจรดเย็นนี่สบายๆ เพราะแบตเค้าใหญ่ถึง 4 พันมิลลิแอมป์นี่นา
ข้อดี
– หน้าจอใหญ่ สีสันสดใส คมชัด ความละเอียดพอดีทำให้ตัวเครื่องไม่ต้องทำงานหนักเกินไป
– รองรับการใช้งาน 2 ซิม หรือจะใช้ ซิมเดียวพร้อม Micro SD Card ก็ได้
– แบตเตอรี่อึดมาก
– กล้องถ่ายรูปจัดมาเต็มทั้งกล้องหน้ากล้องหลัง
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือโคตรเทพ แตะปุ๊บปลดล็อคปั๊บ ไม่ต้องกดปุ่มก่อนสแกนให้ยุ่งยาก
– ฟังเพลงผ่านหูฟังเสียงดีมากด้วยระบบ Dirac HD Sound
ข้อเสีย
– เล่นมือเดียวลำบากเพราะขนาดหน้าจอใหญ่มาก
– จากที่ทดสอบใช้งานมาเจอปัญหาเวลาเชื่อมต่อกับ Bluetooth เพื่อใช้สนทนาแล้วเสียงไม่เข้า ต้องวางสายแล้วโทรใหม่ เสียงถึงจะเข้า Bluetooth
– ราคาสูงไปนิดเมื่อเทียบกับสเปค
เพื่อนๆสมาชิกสามารถแสดงความคิดเห็นกันได้ ที่นี่
You must be logged in to post a comment.