Asus ยังคงสานต่อความสำเร็จของ Zenfone Series 2 ด้วยการปลดปล่อยพลังแห่งคลังแสงออกมาใน Asus Zenfone 2 Deluxe ที่มีสเปคตัวเครื่องเหมือนกับ Asus Zenfone 2 รุ่น Ram 4GB ทุกประการเว้นแต่หน่วยความจำภายในตัวเครื่องที่เรียกว่าคลังแสงเพราะมันมีมากมายเหลือเกินถึง 128GB ซึ่งก็เหมาะสำหรับคนที่ชอบพกเครื่องเดียวรองรับ 2 ซิม ใส่ไฟล์ภาพ เพลง ลงแอพได้เยอะๆ สะใจ ลองมาอ่านรีวิวตัวนี้กันดู
……
Asus Zenfone 2 Deluxe Specification:
– หน้าจอ IPS LCD ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD
– กระจก Gorilla Glass 3
– Intel Atom Z3580 Quad-core 2.3 GHz
– GPU PowerVR G6430
– Ram 4GB
– หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง 128GB
– รองรับ Micro SD Card
– รอบรับการใช้งาน 2 ซิม (Micro Sim) ใช้ 4G ได้ซิมหลักซิมเดียว
– กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล และไฟแฟลช LED 2 ดวง 2 สี F2.0
– กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล
– แบตเตอรี่ 3,000mAh ถอดเปลี่ยนไม่ได้
– Fast battery charging: 60% in 40 min
– 5GB free lifetime ASUS WebStorage
– MP3/WAV/eAAC+ player
– MP4/H.264 player
– Document viewer
– Photo/video editor
– ขนาดตัวเครื่อง 152.5 x 77.2 x 10.9มม.
– น้ำหนัก 170 กรัม
– Android 5.0 Lollipop
– ราคา 12,990 บาท
1.แกะกล่อง
มาแกะกล่อง Asus Zenfone 2 Deluxe กันก่อนครับ รุ่นนี้สังเกตไม่ยากเลย ดูง่ายๆ ที่ฝาหลังแบบพรีเมียมก็พอ (ถ้าไม่ได้ไปซื้อมาเปลี่ยนละนะ) ก้จะทำให้เห็นถึงความแตกต่างได้ชัดเจน
ข้างกล่องบอกสเปคเล็กน้อยเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็นจอ Full HD, 4G LTE และอื่นๆ
ด้านหลังกล่องก็มี IMEI กับ Serial Number และชื่อรหัสรุ่นครับ คือ ZE551ML
เปิดกล่องมาถัดจากตัวเครื่องก็จะเจออุปกรณ์ ว่าแต่มีอะไรบ้างล่ะ
อุปกรณ์ในกล่องมีดังนี้ครับ
1.คู่มือ
2.ใบรับประกัน
3.Adapter (Fast Charge)
4.สาย Micro USB
5.หูฟังแบบ in ear พร้อมจุกยาง
Adapter ของ Zenfone 2 Deluxe จ่ายไฟแรงสุดก็ 9V = 2A
เอาล่ะมาดูตัวเครื่องกันบ้าง ด้านหน้าตัวเครื่องนี่เอาจริงๆ คือเหมือนกันทุกรุ่น ถ้าให้ดูแค่ด้านหน้าเครื่องแล้วตอบรุ่นเลยนี่ยากน่าดู ฮ่าๆ
ด้านหลังตัวเครื่องมีกล้องหลังพร้อมไฟแฟลช LED 2 ดวง มีปุ่มเพิ่มลดเสียงและลำโพง
มาดูตัวเครื่องใกล้ๆ กันต่อ ด้านหน้าตัวเครื่องเหนือหน้าจอมีลำโพงสำหรับสนทนา และกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซลทางขวา
ใต้หน้าจอมีปุ่มบนตัวเครื่องประกอบด้วย Back, Home, Recent Apps
ด้านหลังตัวเครื่องด้านบนมีกล้องถ่ายรูปความละเอียด 13 ล้านพิกเซลพร้อมไฟแฟลช LED 2 ดวง 2 สี และใต้กล้องมีปุ่มเพิ่มลดเสียง
ด้านล่างตัวเครื่องมีลำโพง (Speaker)
เปิดฝาหลังกันหน่อย พบช่องใส่ซิมการ์ดทั้ง 2 ซึ่งหากจะใช้งาน 4G LTE ต้องใส่ซิม 1 เท่านั้นนะครับ ส่วนช่องใส่เมมก็อยู่ด้านบนอะ เผื่อหน่วยความจำในเครื่องยังน้อยไป
แบตเตอรี่นั้น ถอดไม่ได้จ้า
ด้านบนตัวเครื่องมีปุ่ม Power, ช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5มม. และไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวน
ด้านช้างตัวเครื่องทางขวาโล่งๆ
ด้านข้างทางซ้ายก็โล่งเช่นกัน
ด้านล่างตัวเครื่องมีช่องเสียบสายชาร์จแบบ Micro USB และไมโครโฟนสำหรับสนทนา
ลองถือตัวเครื่องกันดูบ้าง ด้วยหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว แต่มีปุ่มสัมผัสบนตัวเครื่องฉะนั้นการใช้งานด้วยมือเดียวอาจจะลำบากสักหน่อยหากมือเล็ก
ฝาหลังตัวเครื่องที่เป็นลายๆ นี่หากสะท้อนแสงคนละมุมก็ได้สีที่ต่างกันด้วยนะ
2.User Interface & Feature
Asus Launcher
User Interface ของ Zenfone นั้นมาเหมือนกันทุกรุ่นเลยก็ว่าได้ครับ คือมีความเรียบง่ายและคลาสสิคมาก โดยแบ่งออกเป็นหน้า Home และ App Drawer ซึง Asus launcher นั้นบางทีก็ฉลาดมากเกิน คือมันจัดการแอพประเภทต่างๆ เข้า Folder ให้เสร็จสรรพทันทีที่เราโหลดแอพเสร็จเลย ยกตัวอย่างเช่นผมโหลดเกมส์มาเกมส์นึง พอโหลดเสร็จมันจับโยนเข้าโฟลเดอร์เกมทันที เอ๊อะ จะฉลาดไปไหนล่ะครับท่าน ซึ่งผมว่าก็ดีนะ ไม่ต้องให้แอพกระจายๆ กันเยอะๆ หลายๆ หน้า แบ่งเป็นประเภทนี่ล่ะง่ายดี หรือใครขี้เกียจหาโฟลเดอร์ประเภทต่าง ๆ อีก ก็สามารถค้นหาโดยพิมพ์ชื่อแอพเลยก็ทำได้
Notification Bar
Notification Bar ของ Zenfone 2 Deluxe ก็เหมือนกับ Zenfone รุ่นอื่นๆ นั่นล่ะครับ ฮ่าๆๆ เรียกว่าออกกี่รุ่นก็ใช้เหมือนกันหมดสำหรับ Asus และยังเหมือนกับแอนดรอยด์ที่หลายๆ คนคุ้นเคยคือลากลงมาชั้นนึงเป็นแถบการแจ้งเตือนต่างๆ และถ้าลากซ้ำลงมาครั้งที่สองจะเจอกับแถบทางลัดต่างๆ ในการปรับความสว่างหน้าจอ และเปิดปิด Wi-Fi, Bluetooth, ฯลฯ ครับ
Touch Gesture
Zenfone 2 Deluxe เป็นถึงรุ่นท็อปของนิกายแล้วฉะนั้นฟีเจอร์Touch Gesture มีให้มาด้วยแน่นอนซึ่งเป็นการจับความเคลื่อนไหวต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น หากหน้าจอดับอยู่ เราก็สามารถเคาะหน้าจอสองครั้งเพื่อให้หน้าจอติดขึ้นมาได้ หรือจะเคาะหน้าจอสองครั้งเพื่อปิดหน้าจอก็ทำได้ครับ (แต่ต้องอยู่ที่หน้าโฮมนะ) รวมถึงยังมี Gesture หลายๆ อย่างอีกที่ใช้ ณ ตอนหน้าจอดับโดยการเขียนตัวอักษรอีกดังนี้
– C เพื่อเปิดกล้องถ่ายรูป
– W เพื่อเปิดเว็บบราวเซอร์
– S เพื่อเปิดกล้องถ่ายรูป (กล้องหน้า)
– e เพื่อเปิดอีเมล
– Z เพื่อเปิด Asus Boost
– V เพื่อเปิดหน้าโทรออก
One Hand Mode
เนื่องด้วยคัวเครื่อง Zenfone 2 Deluxe เองก็มีขนาดค่อนข้างใหญ่คือหน้าจอก็ปาไป 5.5 นิ้วแล้ว ฉะนั้นคนมือเล็กอาจใช้งานมือเดียวไม่ค่อยสะดวกจึงได้ใส่ฟีเจอร์ One Hand Mode มาให้ด้วยเพื่อทำการย่อหน้าจอลงมา จะได้ใช้งานด้วยมือข้างเดียวได้สะดวกมากยิ่งขึ้นครับ
File Manager
แอพจัดการไฟล์ต่างๆ ของตัวเครื่องใช้งานเหมือนทั่วๆ ไป แบ่งออกเป็นหน่วยความจำภายในตัวเครื่องและ Micro SD Card ชัดเจน ซึ่งจะเข้าไปดูไฟล์ส่วนไหนก็กดที่แถบทางขวาออกมา รวมถึงยังเข้าดูพวก Cloud Storage ต่างๆ ในแอพนี้ได้ด้วยนะ
Instant Camera
ผมเองเป็นคนหนึ่งที่บางสถานการณ์ก็ต้องหยิบมือถือมาถ่ายรุปแบบด่วนๆ จะมานั่งกดให้จอติด ปลดล็อค แล้วเข้ากล้องถ่ายรูปก็จะช้าไปนะ หรือจะไปวาดเป็นตัวอักษรหรือการใช้ Gesture ต้องมานั่งนึกอีกว่าวาดอะไรเข้ากล้องฟะ แต่ละรุ่นไม่เหมือนกันเลย ฉะนั้นผมเลยชอบกดปุ่มบนตัวเครื่องเพื่อเรียกแอพกล้องถ่ายรูปขึ้นมามากกว่า ซึ่งโดยปกติของ Zenfone จะถูกปิดฟีเจอร์นี้เอาไว้ต้องมาเปิดใน Setting > Lock Screen > Instant Camera จากนั้นเวลาหน้าจอดับอยู่แล้วต้องการเข้ากล้องถ่ายรูป ก็แค่กดปุ่มเพิ่่มหรือลดเสียงสองครั้งตัวเครืองก็จะเปิดแอพกล้องขึ้นมาทันทีครับ
Power Management
Zenfone 2 Deluxe ได้ใส่การปรับค่า CPU ของตัวเครื่องมาให้กับผู้ใช้งานด้วย เผื่อต้องการปรับไปตามสถานการณ์ ซึ่งปกติแล้วจะถูกตั้งค่าว่าเป็น Normal (ปกติ) คือให้ตัวเครื่องทำงานแบบพอดิบพอดี ใช้งานไม่ได้ช้าอะไร แต่ไม่ได้ใช้งาน CPU เต็มที่ แต่หากพอจะเล่นเกมส์แล้วก็สามารถมาปรับเป็น Performance ได้ ถ้าเกมส์นั้นกินแรงจริงๆ นะ หรือแบตใกล้หมดก็มาปรับเป็น Power Saving หรือ Super Saving กันไปตามสถานการณ์ ทั้งนี้ยังสามารถตั้งค่าเองได้ด้วย ว่าจะใช้ CPU, ความสว่างจอ, เครือข่าย ทำงานอย่างไร และอนุญาตให้แอพตัวใดทำงานบ้าง โดยสามารถเข้าไปปรับค่าต่างๆ ได้ที่ Setting > Power Management > Power Saver
แต่เอาจริงๆ โหมด Normal เดิมๆ ของตัวเครื่องที่ปรับให้มาก็ถือว่าลื่นและแม้จะเล่นเกมส์ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะ ฮ่าๆ
Benchmark
ทดสอบประสิทธิภาพของตัวเครื่อง Zenfone 2 Deluxe ผ่านแอพ Benchmark ต่างๆ ได้ผลดังนี้
– Antutu: 47731
– Geekbench: Single Core 895, Multi-core 2844
– Quadrant Standard: 11755
3.กล้องถ่ายรูป
Asus Zenfone 2 Deluxe มาพร้อมกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล F2.0 ละมีไฟแฟลช LED ให้อีกสองดวงสองสี (True Tone Flash)
โหมดการถ่ายรูปของ Zenfone 2 Deluxe มีมาเยอะมากเหมือนกับรุ่นพี่ที่ออกมาก่อนหน้านี้เลยล่ะ คือจะเยอะไปไหนเนี่ย รายละเอียดดังนี้
– Auto
– Manual
– HDR
– Beautification
– Super Resolution: เป็นโหมดถ่ายภาพหลายๆ ช็อตแล้วนำมารวมกันให้ได้ภาพความละเอียดที่สูงขึ้น
– Low Light
– Night
– Depth in field: เป็นการถ่ายรูปเสร็จแล้วจัดการปรับภาพให้ฉากหลังเบลอตามความสะใจของเราครับ ฮ่ะๆ ผมว่าเอาไว้ถ่ายสิ่งของมันแจ่มมากเลยนะ
– Effect: เอฟเฟคต์สีต่างๆ
– Gif Animation
– Panorama
– Miniature
– Time Rewind
– Smart Remove
– All smiles
– Slow Motion
– Time Lapse
มาดูการถ่ายรูปโหมด Manual กันดีกว่าว่าปรับค่าอะไรได้บ้าง (เหมือน Zenfone ทุกรุ่น)
ปรับ ISO ได้ตั้งแต่ 50 – 800
ปรับ Speed Shutter ได้ตั้งแต่ 2 – 1,000/s
ปรับ EV ได้ตั้งแต่่ -2 ถึง +2
ปรับ White Balance ได้ระดับค่า K แต่มีแผนภาพให้ชัดเจน ง่ายดีนะ จะเอาสีฟ้าก็ปรับลงมา โทนร้อนก็ปรับขึ้นไป
ทั้งนี้หากใช้งานโหมด Auto แล้วสีสันหรือค่าแสงไม่ถูกใจก็สามารถมาปรับได้ในการตั้งค่าของกล้องนะครับ
ปรับได้ยัน Saturation, Contrast, Sharpness, Noise Reduction, Backlight
เดิมกล้องของ Zenfone 2 Deluxe จะถูกตั้งค่าความละเอียดมาที่ 10 ล้านพิกเซลแล้วอัตราส่วนจะพอดีกับหน้าจอตัวเครื่องพอดี (16:9) ทั้งนี้ในการรีวิวครั้งนี้ผมปรับเป็น 13 ล้านภาพจึงออกมาในอัตราส่วน 4:3 ครับ
มี Burst Mode ด้วยนะ วิธีใช้ไม่ยากครับ จิ้มค้างเวลาถ่ายรุปนั่นล่ะ เดี๋ยวมันยิงเอง
ส่วนเรื่องการถ่ายวิดีโอสามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุด Full HD (1080p)
Effect: โหมดสีต่างๆ
โหมดสีต่างๆ บน Zenfone 2 Deluxe มีให้เลือกใช้เยอะมาก ชอบแบบไหนก็ลองกันดู
กล้องหน้า
Asus Zenfone 2 Deluxe มาพร้อมกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล
กล้องหลังมีโหมดถ่ายรูปอะไรกล้องหน้ามีเกือบหมดครับ แต่ที่จะมีเพิ่มเข้ามาคือ Selfie panorama เผื่อเก็บภาพเป็นหมู่คนเยอะๆ ทั้งนี้เดิมๆ ของกล้องหน้านั้นจะมาในโหมด Beautification หรือโหมดหน้าสวยนั่นเอง
โหมด Beautification นั้นสามารถปรับแต่งได้หลากหลายมากครับ ตั้งแต่เติม Brush ว่าอยากได้สีอะไร, ทำหน้าเนียน 10 ระดับ, ทำหน้าขาวได้อีก 10 ระดับ, ตาโตก็ทำได้ 10 ระดับ และสุดท้ายทำหน้าเรียวได้อีกด้วย 10 ระดับ โอ้ เรียกว่าใช้กันหมดนี่ออกมาสวยหล่อทุกคนแน่นอน แต่ตัวจริงจะเป็นไงนี่…ก็ไม่รู้นะครับ ฮ่าๆ
ส่วนของซอฟต์แวร์จบลงเรียบร้อย ต่อไปก็ไปขอเชิญชมตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องของ Zenfone 2 Deluxe กันครับ
ซึ่งแน่นอนว่าภาพเกือบทั้งหมดถ่ายด้วยโหมด Auto และไม่ได้มีการปรับแต่งใดๆ ทำเพียงย่อขนาดและใส่ลายน้ำเท่านั้นครับ
ภาพจากกล้องหน้าครับ
สรุป: Zenfone 2 Deluxe เป็น Phablet ที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการพกพาเครื่องเดียวใช้งานได้ 2 ซิม, หน่วยความจำเยอะสะใจ ใส่หนัง เพลง ภาพ รวมถึงลงแอพพลิเคชั่นได้เต็มที่ไม่ต้องกลัวพื้นที่เต็ม ในราคาเพียงหมื่นต้นๆ กล้องถ่ายรูปใช้งานได้ทั่วไป ไม่อึดอัด แต่งานกลางคืนอาจต้องทำใจเรื่องสีหน่อยนะ ส่วนกล้องหน้าทำสวยได้สุดๆ เลย ปรับได้ทั้งหน้าใส เรียว เด้ง ตาโต
ข้อดี
– หน่วยความจำภายในตัวเครื่องเยอะมาก 128GB ในราคาเพียงหมื่นต้นๆ เรียกว่าเป็นคลังแสงได้เลย และหากไม่จุใจก็ยังใส่ Micro SD Card เพิ่มเข้าไปได้อีก
– รองรับการใช้งาน 2 ซิม ที่แม้ใช้สายซิมใดซิมหนึ่งอยู่ก็ยังคงเล่นเน็ตผ่านเครือข่ายได้
– Ram 4GB เยอะ เหลือให้เปิดแอพได้สบายๆ
– รองรับ Fast Charge ชาร์จไฟเข้าได้เร็วดี
ข้อเสีย
– ใช้งาน 4G LTE ได้แค่ซิม 1 ส่วนซิม 2 รองรับแค่ GSM
– ใช้ชิปเซ็ต Intel ซึ่งแอพบางตัวอาจทำงานได้ไม่เต็มที่ เช่นเกมส์ เนื่องจากผู้ผลิตส่วนใหญ่ใช้ Snapdragon (แต่จริงๆ เกมส์เด่นๆดังๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร)
– กล้องเวลาเจอแสงน้อยนี่สีเพี้ยนไปเยอะ
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณ Asus Thailand ที่ให้ยืมเครื่องมาทดสอบครับ
=>>คอมเม้นท์กันที่เว็บบอร์ดเดิมได้โดยคลิกที่นี่<<=
You must be logged in to post a comment.