Wiko แบรนด์จากฝรั่งเศส ออกซีรีส์ Ufeel มานับว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพิ่งส่ง Ufeel Prime ลงตลาดสเปคดีราคาโดน และน้องเล็กอย่าง Ufeel Go ในราคาประหยัดแค่ 4,990 บาท แต่ว่าฟีเจอร์และแบตอึดสุดๆ แถมยังเป็น OTG จ่ายแบตให้อุปกรณ์อื่นๆ ได้อีกด้วย เรียกว่าทั้งอึดทั้งแบ่งปันได้อีกต่างหาก
Wiko ทำตลาดในเมืองไทยได้หลายปี เน้นราคาประหยัดจับต้องได้ และที่สำคัญคุ้มค่า ด้วยความเป็น Wiko จากที่ใช้งานมาหลายรุ่น เจ้า Ufeel Go รุ่นนี้นับว่าเป็นอีกรุ่นที่คุ้มสุด ทั้งเรื่องแบตที่มีขนาด 4000 mAh นอกจากความอึดแล้ว ยังแบ่งจ่ายไฟให้อุปกรณ์อื่นๆ ได้อีก ทำตัวเป็น Powerbank ในตัวได้เลย ปัจจุบันอุปกรณ์เรามีพกมากมาย อย่างน้อยก็มีเจ้า Wiko Ufeel Go ที่ช่วยยืดชีวิตอุปกรณ์อื่นๆ ที่พกติดตัวไปด้วย พร้อมสแกนลายนิ้วมืออีกต่างหาก ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็มาติดตามกันได้เลยครับผม
สเปคเบื้องต้นของ Wiko Ufeel Go
● หน่วยประมวลผล MT 6737 Quad-Core 1.3GHz, (2×2.15 GHz Kryo & 2×1.6 GHz Kryo)
● หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali T720
● หน้าจอแสดงผลชนิด IPS ขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด HD กระจกแบบ 2.5D
● RAM 2GB
● หน่วยความจำภายในตัวเครื่องขนาด 16GB และรองรับหน่วยความจำ MicroSD ได้สูงสุด 64GB
● กล้องด้านหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล
● กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อม เซลฟี่แฟลช
● รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด 4G LTE
● แบตเตอรี่ความจุ 4,000 mAh
● ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ Android 6.0 (Marshmallow)
● มีสแกนลายนิ้วมือ/ เป็น Powerbank ได้
มาแกะกล่องกันครับ ตัวกล่องยังมีพร้อมกับธีมสีเขียวอ่อน และ Ufeel Go รุ่นนี้คลานตาม Ufeel Prime มา หากต้องการราคาประหยัด ฟีเจอร์ไม่แพ้กัน ก็หันมามองรุ่นนี้ได้เลย
ด้านหลังกล่องบอกรายละเอียดฟีเจอร์เด่นๆ เอาไว้ครบ เสียดายอย่างเดียวคือหน้าจอความละเอียดยัง HD อยู่
อุปกรณ์ที่แถมมาในกล่อง งานนี้ไม่เห็น sim adapter แฮะ
Ufeel Go หน้าจอขนาด 5 นิ้วซึ่งกลายเป็นหน้าจอขนาดมาตรฐานไปแล้วในปัจจุบัน ความละเอียด HD 720p ก็พอใช้งานอยู่
กล้องด้านหน้าขนาด 5 ล้านพิกเซล พร้อมเซลฟี่แฟลชในตัว เรื่องคุณภาพของภาพถ่ายในที่แสงน้อยอาจจะไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเซลฟี่ทั่วๆ ไป ก็จัดเต็มให้ด้วยโหมดเซลฟี่ ปรับได้หลายระดับ
หน้าจอกระจกโค้ง 2.5D พร้อมเทคโนโลยี Full Lanination ที่ช่วยเรื่องการแสดงผลได้ ทั้งสบายตา และคมชัด ปุ่ม Home ที่เป็นตัวสแกนลายนิ้วมือ ทั้งปลอดภัย และปลดล็อคได้รวดเร็วอีกด้วย
ตัวเครื่องดีไซน์เป็นโลหะ น้ำหนักพอใช้ได้เลยล่ะ เวลาจัดตัวเครื่องแล้วรู้สึกว่ามั่นใจในความแข็งแรง คงทน เมื่อเทียบกับราคาแล้ว ก็สมเหตุสมผลดี
กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล ถ่ายภาพได้รวดเร็ว และมีโหมดต่างๆ ให้เลือกเล่นเพียบเลย
ลำโพงอยู่ตรงด้านหลัง เสียงดังฟังชัดดี
ลองแกะฝาเครื่องดูสักหน่อย ถึงแม้ว่าจะแกะฝาหลังได้ แต่ว่าแบตเตอรี่เปลี่ยนเองไม่ได้นะครับ ซีลซะเรียบร้อย มีปัญหา ก็เข้าศูนย์อย่างเดียว
ตัวฝาที่มีดีไซน์เป็นโลหะ มีความแข็งแรงไม่น้อยเลย งอไม่ได้นะ
ซึ่งการดีไซน์เรื่องฝาหลังก็มีส่วนให้ความรู้สึกว่าเป็นโลหะ จัดเต็ม รวมถึงน้ำหนักเวลาถือก็มีส่วนเช่นเดียวกัน
ตัวบอดี้จริงเป็นพลาสติก แต่ทว่าการประกอบรวมถึงการเก็บรายละเอียดต่างๆ ทำได้ดี
ที่สำคัญราคาระดับนี้รองรับ 2 ซิมและรองรับ 4G LTE ทุกค่าย ใช้ microSIM ทั้ง 2 slot แต่ว่าอีกซิมนึงจะรองรับแค่ 2G เท่านั้น
ด้านล่างมีพอร์ท micro USB และไมค์
ด้านข้างดูเรียบๆ ความหนาตัวเครื่องก็พอประมาณ ไม่ได้บางมากแต่ก็ไม่ได้หนาจนเกินไป
ด้านบนมีช่องสำหรับเสียบหูฟัง 3.5 มม. อย่างเดียวเลย
อีกข้างนึงเป็นปุ่ม ปิดเปิดเครื่อง และ เร่งลดเสียงตามปกติ
การออกแบบปุ่มกด กลมกลืนกับดีไซน์ตัวเครื่อง พร้อมสีที่เข้ากัน
มาดูเรื่องซอฟท์แวร์กันครับ
สำหรับ Wiko แล้วความลื่นมาเป็นอันดับต้นๆ เพราะไม่ได้มี UI ครอบ แค่มีธีมที่ดูแล้วมีความเป็น Wiko เท่านั้นเอง แต่ละรุ่นก็จะคล้ายๆ กัน เน้นเรื่องความเร็วและการใช้งานเสียมากกว่า
หน้าตา UI แบบนี้คุ้นเคยกันดีใช่ไหมล่ะครับ ใครที่เป็นแฟนๆ Wiko จะรู้ว่าไอคอนดูเบาๆ สบายๆ มีสีสันสวยงาม ก็ต้อง Wiko เลย อย่างที่บอกว่าไม่ได้ครอบด้วย OS เหมือนกับแบรนด์อื่นๆ ทำให้การใช้งานลื่นอีกด้วย
เหตุผลที่ใช้งานลื่นก็เพราะ OS ที่มาถึงเวอร์ชั่น 6 ก็เป็นส่วนประกอบหนึ่งเช่นกัน ส่วนพื้นที่เหลือใช้งานก็ประมาณ 10GB ถือว่าพอใช้งานก็แล้วกันนะ ใครไม่พอหาเมมใส่เพิ่มเลย ไม่แพงแล้วล่ะเดี๋ยวนี้
ลูกเล่นต่างๆ มีให้ไม่น้อยเลยนะ พวก motion ต่างๆ รวมถึงการเขียนหน้าจอ ก็ไม่รู้ว่าทุกวันนี้ยังมีคนใช้งานมากแค่ไหนเหมือนกันนะ แต่เปิดใช้ก็มีประโยชน์เหมือนกัน อาทิเช่น คว่ำโทรศัพท์ลงแล้วเสียงเรียกเข้าหายไป หรือเมื่อตอนตั้งเป็นนาฬิกาปลุก ก็สะดวกดี ส่วนอื่นๆ พวก gesture ไม่ค่อยได้ใช้ แต่สามารถทำ custom gesture ได้ อันนี้ก็มีบ้างบางครั้ง ใช้เขียนตัวอักษรภาษาไทยเช่น ก แทนการเรียกเข้าใช้งานกล้อง
แอพต่างๆ ที่มี ซึ่งมี pre-install มาไม่มากมายนัก ประมาณนี้เลย และมีความสามารถทำ screen shot ได้แบบแนวยาวซะด้วย
โหมดกล้อง ที่พอให้มีใช้งานมีหลายโหมด ที่สำคัญของคนยุคนี้ก็คงเป็น Face Beauty นั่นล่ะ HDR ก็โอเคนะ มีประโยชน์ในหลายสถานการณ์เลย แถมยังมีโหมดโปรให้เเล่นซะด้วย ก็นับว่าใช้ได้ล่ะ
การตั้งค่ากล้องด้านหลัง เสียดายที่บันทึกวีดีโอได้แค่ 720p เท่านั้น
กล้องด้านหน้า ยังคงปรับแต่งได้เพียบ หลังจากถ่าย Face Beauty แล้วไม่พอใจยังปรับได้อีก เหลาคาง หน้าใส ตาโต หัวเถิก เอ๊ย อันนี้ไม่เกี่ยว ฮาา มุมกล้องมันช่วยน่ะ
โหมดกล้องด้านหน้าก็มีเท่านี้ล่ะ มี Wideselfie ด้วย โหมดนี้สำหรับถ่ายกับเพื่อนๆ ล่ะนะ
ต่อไปก็เป็นภาพถ่ายประกอบ
ชุดแรกอาหารในที่แสงสว่างไม่มากนัก หลอดไฟนีออน และบางสถานที่ก็กลางวัน
ตอนช่วงกลางวันภาพก็โอเคอยู่นะ
ปิดท้ายด้วยภาพเซลฟี่ แบบว่าหน้าเนียนเกินจริงมากๆ
วีดีโอรีวิว
ทดสอบเล่นเกมส์
สรุปทิ้งท้ายกันสักนิด
สรุปว่า Wiko Ufeel Go เป็นอีกรุ่นที่น่าคบ เพราะราคาค่าตัวไม่ได้แพงมาก แค่ 4,990 บาท เท่านั้น แม้ว่าสเปคจะไม่ได้แรงมากมายอะไร แต่ว่าใช้งานได้คล่องตัว ดีไซน์ก็พอได้นะ อาจจะไม่ได้สวยสมใจ แต่อึด ถึก ทน แบตใหญ่ แถมเป็น powerbank ในตัวได้อีกด้วย เหมาะสำหรับคนที่มีอุปกรณ์หลายชิ้น แต่ในกล่องไม่ได้มีสาย OTG แถมมาให้นะ อาจจะต้องหาซื้อเพิ่มเอาเอง ส่วนอื่นๆ ก็สมราคาล่ะครับ อาจจะเสียดายนิดเดียวที่กล้องไม่ได้ถ่ายวีดีโอเป็น FullHD ได้ โหมดเซลฟี่ต่างๆ ก็ทำได้ดีตามสไตล์ของ Wiko อยู่แล้ว ใครที่เป็นแฟน Wiko ก็ไม่น่าพลาด เพราะรุ่นพี่อย่าง Ufeel Prime อาจจะราคาแรงไปหน่อย หันมาคบน้องเล็กอย่าง Wiko Ufeel Go ก็ได้นะ
ถูกใจบทความนี้ 2
You must be logged in to post a comment.