แกะกล่อง และ รีวิว Apple Watch 3 GPS Cellular เลิกใช้ iPhone?

มาแล้วจ้า Apple Watch 3 GPS Cellular ก็วางขายในบ้านเราอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว Apple Store ขายได้สักพัก แต่สำหรับค่ายโอเปอเรเตอร์อย่าง TrueMove H เป็นค่ายแรกที่วางขาย และสอยมาเรียบร้อยแล้ว โดยงานนี้ก็สอยมาจาก True Sphere ที่สะดวกสบายในการพูดคุยและแนะนำรายละเอียดต่างๆ จนในที่สุดก็จัดพร้อมกับแพ็กเกจต่างๆ ที่จะมาบอกรายละเอียดกัน พร้อมกับการแกะกล่อง ผมว่ามันมีอะไรมากกว่า Apple Watch 3 GPS โดยเฉพาะเรื่องการใช้งานและค่าบริการ รวมถึง เราจะเลิกใช้ iPhone ได้เลยไหม?

ออกตัวก่อนเลยว่าเป็นผู้ใช้ Apple Watch รายใหม่สุดๆ ไม่ได้เป็นแฟน Apple ตัวจริงแต่อย่างใด ใช้ทุก OS  แต่ที่ตัดสินใจเลือกเจ้า Apple Watch 3 GPS Cellular มาใช้งานเนื่องจากมี 4G ในตัว ซึ่งค่าย TrueMove H ก็มาก่อนเพื่อนเลย และบังเอิญว่า แวะไปที่ True Sphere สาขา Central Westgate ไปใช้บริการตามปกติ พอเดินเข้าไป จนท. ก็สอบถามและนำเสนอ Apple Watch 3 GPS Cellular ซะอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจแต่อย่างใด แต่จุดจบก็คือ ได้ Apple Watch 3 GPS Cellular สาย Sport band สีเทาหมอกมาเรียบร้อยโรงเรียน TrueMove H ซะอย่างนั้น  ถ้าติดตามผมก็จะรู้ว่าผมใส่พวก Smartband หรือพวกสาย Sport watch มาพอสมควร และใส่อยู่ประจำหลายเรือน ยังคิดอยู่ว่า Apple Watch 3 GPS Cellular จะอยู่ข้อมือข้างไหนดี (ฮา) โม้มาเยอะแล้ว มาเข้าเรื่องกันดีกว่า  แต่ก่อนจะไปดูรายละเอียดต่างๆ ก็คงมาแกะกล่องกันก่อนเช่นเคย พร้อมรายละเอียดเบื้องต้น ส่วนการใช้งาน และรายละเอียดอื่นๆ อาจจะมาเก็บตกกันอีกทีนะครับ

รูปร่างหน้าตา Apple Watch 3 GPS Cellular 


บอกตรงๆ ว่าไม่ชอบกล่อง Apple Watch เพราะว่ามีขนาดใหญ่เกินตัวมาก ใหญ่เว่อร์วัง อลังการ แต่ถ้าจะพูดให้ดูดีหน่อย ก็คงต้องบอกว่าออกแบบมาดี เรียบหรู


จริงๆ มีให้เลือกหลายรุ่นนะครับ แต่ที่เลือก Apple Watch 3 GPS Cellular ขนาด 42มม. มาก็เพราะหน้าจอใหญ่ สะดวกกับการใช้งานหน่อย จริงๆ เล็งตัวถูกไว้ เพราะราคาเริ่มต้นที่โอเปอเรเตอร์ของค่าย TrueMove H คือ 15,500 บาท ซึ่งเป็นรุ่นขนาด 38มม. โดยรุ่น 42มม. อะลูมิเนียมมีขนาดตัวเรือนที่ 36.4×42.5×11.4 มม. น้ำหนักอยู่ที่ 34.9 กรัมซึ่งใส่สบายแน่นอน


อุปกรณ์ก็มีเท่านี้ล่ะครับ ตามสเต็ปท์ อย่างที่บอกว่าอุปกรณ์ไม่ได้มีอะไรมากแต่กล่องใหญ่เว่อร์นะ (ยังแซะเรื่องกล่อง) ฮ่ะๆ


ตัวสายมีขนาด S/M มาให้ในกล่อง ข้อมือผมเล็กนิดเดียวคงต้องใช้ขนาดนี้แทน การเปลี่ยนก็ไม่ยาก กดตรงตัวล็อคแล้วเลื่อนสายเปลี่ยนได้ทันที สะดวกดี


สำหรับความเห็นผมแล้ว ตัววัสดุก็สมราคา แต่ที่ผ่านมาไม่เข้าตาสักเท่าไหร่ มีหลายเหตุผล แต่มาครั้งนี้มีเหตุที่อยากได้มาไว้ครอบครองเลยล่ะ ไว้อ่านเหตุผลด้านล่างละกัน หน้าจอขนาด 1.65 นิ้ว ความละเอียด 390 x 312 พิกเซล ถามว่าเล็กไหม ก็คงเล็กเกินไป แต่เอาจริงๆ อยากได้ใหญ่กว่านี้ เพราะตาเริ่มไม่ดี ฮ่ะๆ และหน้าจอเป็น AMOLED เรื่องการแสดงผลคงไม่ต้องห่วงรวมถึงมาพร้อมกับ Apple Watch OS เนียนๆ อ้อ ข้อดีอีกอันก็คือ กระจกที่ใช้เป็น ION-X (Sapphire crystal สำหรับรุ่น เซรามิก และ สแตนเลสสตีล) กันรอยขีดข่วนได้ดีเลยทีเดียว


ตัวเรือนเป็นอลูมิเนียม ซึ่งราคาเบาสุดแล้ว รุ่นอื่นเป็นสแตนเลสสตีล ดีขึ้นมาอีกแต่ก็แลกด้วยราคาที่เพิ่มขึ้น อันนี้อยู่ที่กระเป๋าใครกระเป๋ามันแล้วล่ะครับ ส่วนผมอยากเสพเทคโนโลยีใหม่ ก็เอาเบาๆ ก็แล้วกัน แถมยังกันน้ำ และใส่ว่ายน้ำได้ด้วย อันนี้กำลังต้องการเลย ส่วนภายในของเจ้า Apple Watch 3 GPS Cellular รุ่นนี้มาพร้อมกับ CPU Apple S3 Dual-Core GPS PowerVR มี RAM ที่ 768 MB (อ้างอิงจาก GSM Arena) และพื้นที่ใช้สอย 16GB รองรับการใช้งาน Wi-Fi 802.11 b/g/n พร้อม Bluetooth 4.2, A2DP, LE ส่วน GPS มีทั้ง A-GPS และ GLONASS แน่นอนว่ารองรับ 4G LTE ด้วย อันนี้คือจุดต่างเลยสำหรับรุ่นที่เป็น Cellular  ซึ่งตรงด้านข้างเองจะมีลำโพงและไมค์อันนี้เสียงดังฟังชัดไหม? ต้องลองอีกที อย่างที่บอกว่ายังใหม่กับเจ้า Apple Watch 3 GPS Cellular จริงๆ


ด้านข้าง ที่ต่างก็คงเป็นเม็ดมะยม ที่มีสีแดง ใครเห็นเพื่อนใส่ รุ่นที่มี เม็ดมะยมสีแดง ก็เข้าใจได้เลยว่าเป็น Cellular ซึ่งในอนาคต Apple Watch 4 ก็คงใช้มาตรฐานเดียวกัน


นอกจากนั้นเอง ยังมีเซ็นเซอร์ให้มาครบ ทั้งAccelerometer, gyro, heart rate และ barometer ครบๆ แต่อนาคตน่าจะมีเซ็นเซอร์วัดเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติม ซึ่งเซ็นเซอร์ก็มีผลกับแบตเตอรี่ ที่ Apple เคลมว่าใช้งานติดต่อกันได้ถึง 18 ชั่วโมง แต่เอาจริงๆ ผมว่าถ้าใช้วิ่งเปิด GPS และฟังเพลงไปด้วยนี่คงไม่กี่ชั่วโมงหรอกครับ ส่วนด้านหลังตรงนี้จะเห็นปุ่มสำหรับกดเพื่อเปลี่ยนสาย ซึ่งสะดวกดีนะ


ตัวสายก็ยืดหยุ่นดี เหมาะกับการออกกำลังกายอย่างมาก และอย่างที่บอกคือผมมือใหม่ Apple Watch ดังนั้นเพิ่งเคยใส่จริงๆ จังๆ กับ ลักษณะการติดสายก่อนแล้วรวบปลายสายเข้าไปด้านใน ซึ่งแตกต่างจากค่ายอื่นๆ ที่เคยใช้งานมาก ซึ่งเออ มันก็แน่นดีนะแบบนี้


ก็คงดูรูปร่างหน้าตากันเท่านี้ล่ะครับ โดยรวมๆ ก็น่าประทับใจ แต่ทีเด็ดมันอยู่ที่การใช้งานต่างหาก เพราะแค่ลงแอป แทรคเรื่องโน่นนี่นั่น ใครๆ ก็ทำได้ เผลอๆ ทำได้ดีกว่าซะด้วย ผมใส่อยู่หลายเรือน หลายค่าย ก็มีข้อดี ข้อเสียต่างกันนะ กับราคาของ Smartwatch Apple ก็มีราคาแรงกว่าใคร แต่อย่าลืมว่า ถ้าเป็นรุ่นถูกสุดก็ไม่ได้แรงกว่าคนอื่นมากนัก แต่ถ้าเป็นรุ่นล่าสุดอย่าง Apple Watch 3 GPS Cellular ล่ะก็ มีฟีเจอร์เพิ่มสมราคาน่ะ คราวนี้มาดูรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติมกันต่อดีกว่า

ทำไมถึงเลือก Apple Watch 3 GPS Cellular?

คำตอบที่ค้างไว้ด้านบนให้มาอ่านล่ะครับ จริงๆ Apple Watch 3 GPS ออกมานานแล้ว ใกล้จะออก Apple Watch 4 เสียด้วยซ้ำ แต่มาขั้นเวลาด้วย Apple Watch 3 GPS Cellular  ซะก่อน ซึ่งมีระบบที่น่าสนใจ ซึ่งทาง TrueMove H เค้าเรียกว่า One Number คล้ายๆ กับโอเปอเรเตอร์เมืองนอก ซึ่งความหมายก็คือเราจะใช้ 1 เบอร์ที่มีอยู่นี่ล่ะ ทั้งบน iPhone และบน Apple Watch 3 GPS Cellular ได้พร้อมกัน และใน Apple Watch 3 GPS Cellular ไม่มี physical SIM ในตัว แต่งานนี้เค้าเรียกว่า eSIM ซึ่งเป็นคล้ายซิมเสมือนอยู่ในเครื่อง และสามารถบรรจุเบอร์ได้โดยที่ไม่ต้องเสียบซิมอีกต่อไป นี่คือหนึ่งในเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังเข้ามาสู่การใช้งานของเราในอนาคตอันใกล้ เพียงแค่ Apple เป็นผู้นำเท่านั้น เหตุผลก็คืออยากลองของนั่นแล

น่าซื้อไหมเจ้า Apple Watch 3 GPS Cellular เนี่ย?

ส่วนตัวผมก็คือน่าซื้อครับ ถึงแม้ว่าซีรีส์นี้จะอยู่ได้ไม่นาน เพราะว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ ใครอยากลองการใช้งานก่อน ผมว่าก็จัดไป แต่ถ้ามี Apple Watch 3 GPS อยู่แล้ว ผมว่ารอดีกว่า แต่ถ้ามีรุ่น Apple Watch ซีรีส์เก่ากว่านี้ผมว่าก็ควรเปลี่ยนนะครับ หรือไม่อีกทีก็รอ Apple Watch 4 ที่ผมเชื่อว่าอีกไม่นานเกินรอ อาจจะสักหกเดือน หรือไม่อาจจะเร็วกว่านี้อีก เพราะเจ้า Apple Watch 3 GPS Cellular นี่ผมเดาได้เลยว่า Apple กำลังลองตลาด eSIM ที่กำลังจะมาผลัดเปลี่ยนในอนาคตอันใกล้ ดูว่ามีข้อดี ข้อเสียยังไง แล้วตัวถัดไป Apple Watch 4 จะออกมาสมบูรณ์มากกว่า พร้อมฟีเจอร์ใหม่ๆ

รู้ไหมว่า Apple Watch 3 GPS Cellular ใช้รับสายโทรออกได้โดยไม่ต้องมี iPhone และใช้ได้หลายเครื่อง?

นั่นล่ะครับ เป็นอีกจุดนึง ที่จะนำความสะดวก เพราะระบบ One Number ของ TrueMove H (ไม่รู้ค่ายอื่นใช้ชื่อเดียวกันหรือเปล่า) เราสามารถใช้รับสาย หรือโทรออกได้ ในขณะที่เราไม่ได้เอา iPhone ติดตัวไปด้วย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนยังไง ก็สามารถติดต่อผ่านการโทรได้ตลอดเวลา ลืม iPhone ก็ไม่เป็นไร จะออกวิ่งก็ได้ ไม่ต้องพก iPhone อีกต่อไป ยกเว้นถ้าอยากถ่ายรูป ยังไงก็คงต้องพกไปล่ะครับ แต่ไม่ใช่แค่นี้นะครับ รู้ไหมครับว่า Apple Watch 3 GPS Cellular สามารถเชื่อมต่อใช้งานกับ iPhone ได้มากกว่า 1 เครื่อง ได้สูงสุดถึง 5 เครื่อง และ Apple Watch 5 เเรือนก็สามารถเชื่อมต่อใช้งานกับ iPhone เครื่องเดียวก็ได้เช่นกัน แต่ใครจะมีมากกว่า 1 เรือนล่ะ? ตอนนี้อาจจะมี หรือไม่ก็ได้ แต่ถ้ามีมากกว่า ก็อาจจะตอน Apple Watch 4 GPS Cellular ออกมานั่นล่ะ อาจจะมีเรือนที่ 2 และงานนี้เวลามีสายเข้า ก็จะดังทั้งหมดทั้ง iPhone และ Apple Watch อีกสองเรือน ใครรับก่อนได้เปรียบ ยกตัวอย่างว่า อีกเรือนนึงดันให้แฟนใช้ชั่วคราว แต่ดันมีกิ๊กโทรเข้ามา งานเข้าเลยล่ะ ดังนั้น หากมีหลายเรือนก็ควรจะใช้แค่คนเดียว

ใช้กับ iPhone รุ่นไหนได้บ้าง?

ขั้นต่ำคือ iPhone ที่รองรับ iOS 11.3 ขึ้นไป ซึ่ง ณ ปัจจุบันก็คงเป็น iPhone 6 ที่ยังอัปเดทได้ หากต่ำกว่านี้ก็อดครับ

ถ้ามีมากกว่า 1 เรือนเราจะโดนอะไรบ้าง?

อันนี้น่าจะเป็นหนึ่งประเด็นที่หลายคนอยากรู้ เพราะปกติApple Watch 3 GPS ธรรมดา อยากมีหลายๆ เรือน ก็ซิงค์หรือเปลี่ยนกันเข้าไปไม่ต้องกังวลมากมาย แต่สำหรับ Apple Watch 3 GPS Cellular หากมีหลายเรือน มันจะมีเรื่องค่าใช้จ่ายที่เป็นเงาตามตัว ติดมาพร้อมApple Watch 3 GPS Cellular แต่ละเรือนเลยนะครับ อย่างเช่นของ TrueMove H ที่เปิดให้บริการตอนนี้คือจะมีค่าบริการเดือนละ 199 บาท ส่วนคำถามอื่นๆ ลองถามๆ กันไว้ก็แล้วกันครับ

ดังนั้นผมว่าเรามาดูเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับการใช้งานกันดีกว่า

เรื่องนี้ผมว่าน่าสนใจ และเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่จะทำให้หลายคนตัดสินใจได้ว่าจะหันมาใช้ Apple Watch 3 GPS Cellular ดีไหม? ณ ปัจจุบัน มีเพียงรายเดียวคือ TrueMove H ดังนั้นขออ้างอิงค่าใช้บริการ ที่เราต้องจ่ายก็แล้วกันนะครับ


ไล่เรียงก่อนเลยนะครับ ว่าปกติถ้า TrueMove H ไม่มีโปรโมชั่นนี้ เราจะต้องจ่ายอะไรบ้าง  คือจ่ายค่าเปิดใช้บริการ 299 บาท อันนี้เสียแน่ๆ ครั้งเดียว และเสียค่าบริการรายเดือนอีก 199 บาท ทุกเดือน เอาง่ายๆ คือถ้าเราใช้งาน Apple Watch 3 GPS Cellular กับ iPhone อยู่ใกล้กันตลอดเวลา อันนี้เราก็เสียค่าบริการกันไป วันๆ เลยนะ เพราะเจ้า Apple Watch 3 GPS Cellular จะอยู่ในโหมด 4G เมื่อออกห่างจาก iPhone ในระยะที่เชื่อมต่อทั้ง Bluetooth และ Wi-Fi ไม่ได้ สรุป ปีนึงเราต้องจ่ายค่าบริการอยู่ที่ 2,687 บาท

    แต่งานนี้ TrueMove H มีโปรโมชั่นพิเศษ

นั่นก็คือ สำหรับใครที่สนใจจะใช้งานแล้วย้ายค่ายมา (ตอนนี้มีเพียง TrueMove H ที่ใช้ได้ค่ายเดียว) และสมัครแพ็กเกจ 1099 บาทขึ้นไป อันนี้ใช้กันไปฟรีๆ 24 เดือน และค่าบริการ 299 บาทที่ต้องเสียครั้งแรกก็ไม่เก็บด้วย สรุปคือฟรี 2 ปี แต่เดี๋ยวก่อนมีรีมาร์คนิดนึงคือต้องย้ายค่ายสำเร็จภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2561 มีเวลาให้ตัดสินใจประมาณเดือนนึง   แต่สำหรับใครที่เปิดเบอร์ใหม่ หรือเป็นลูกค้าเก่า ที่ใช้แพ็กเกจ 1099 บาทขึ้นไป งานนี้เค้าให้ใช้ฟรี 12 เดือน ก็ประหยัดตังค์ไปได้ 2,687 บาท ล่ะนะ และกลุ่มสุดท้าย สำหรับเปิดเบอร์ใหม่ หรือลูกค้าเก่า แต่ใช้แพ็เกจที่ 499 บาท แต่ไม่ถึง 1099 บาท งานนี้เค้าให้ใช้ฟรี 6 เดือน ทีเหลืออีก 6 เดือนหลังก็จ่ายกันไป แต่ยังได้รับส่วนลดค่าเปิดบริการครั้งแรก 299 บาทนะ ซึ่งผมเองตก อยู่ในกลุ่มสุดท้าย ฟรี 6 เดือน เพราะว่าอะไร?  เพราะว่าผมติดสัญญาทาส iPhone 8 Plus อยู่น่ะสิ ใครที่ติดสัญญาไม่ว่าใช้แพ็กเกจแพงแค่ไหน โดนครับ โดนโอนไปอยู่กลุ่มสุดท้าย ก็ยังดีนะที่ยังให้ใช้ฟรีนะ สรุปคือ ใครจะใช้ Apple Watch 3 GPS Cellular มีค่าใช้จ่ายเพิ่มนะครับ อันนี้แค่เพียงค่ายเดียว ส่วนค่ายอื่น คงตามมาเร็วๆ นี้ คาดว่าคงไม่ต่างกันมากนัก

สรุปว่าซื้อ Apple Watch 3 GPS Cellular 

สรุปว่าผมเองคือจัดเรียบร้อย ส่วนคนอื่นๆ ใครที่ใครซื้อก็ซื้อ ใครที่ใคร่ผ่านก็ผ่าน ใครที่ใคร่รอก็รอ เพราะว่ายังมีอีกสองโอเปอเรเตอร์เป็นทางเลือก และก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าอีกสองค่ายอาจจะไปเจอกันที่ Apple Watch 4 เลยก็ได้ แต่เอาจริงๆผมว่าคงมาเร็วๆ นี้ เพราะศึกโอเปอเรเตอร์สู้กันทุกสนามรบอยู่แล้ว และเชื่อว่าคนที่มาทีหลังจะดังกว่า แต่จะกว่ามากแค่ไหน หรือจูงใจให้หันไปใช้ได้แค่ไหนก็ว่ากันอีกที ส่วนตอนนี้ TrueMove H ถือว่าออกตัวก่อนก็ย่อมได้เปรียบ เพราะอย่างน้อยก็ได้ผมจัดไป 1 เรือนละนะ และอย่างที่แนะนำล่ะครับ ว่าหากใครสนใจเทคโนโลยี eSIM หรือ One Number ว่าจะช่วยให้ชีวิตสะดวกขึ้นแค่ไหน ก็ต้องลอง แต่ก็ต้องชั่งใจเรื่องค่าใช้จ่ายด้วยนะ ส่วนใครที่ใช้รุ่น Apple Watch 3 GPS อยู่ผมว่าก็ไม่ค่อยแนะนำให้เปลี่ยนสักเท่าไหร่ล่ะครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่ Money ของแต่ละท่านล่ะนะ แต่สุดท้ายยังเลิกใช้ iPhone ไม่ได้นะเพราะของมันต้องคู่กัน และเดี๋ยวคงมาเจอกันในรีวิวถัดๆ ไปเพราะผมสายสปอร์ตด้วย วิ่ง ปั่น ว่าย เดี๋ยวเอาไปลองแล้วมาบอกต่อกันนะ



ถูกใจบทความนี้  159