รีวิว Xiaomi Mi 11 รุ่นใหม่ต้นปี เน้นการถ่ายวีดีโอเสกได้

ต้นปีแบบนี้ก็มี flagship มาให้ลองเล่นเลยอย่าง Xiaomi งานนี้มาในราคาหลักสองหมื่น ซึ่งตามเคยครับ ว่าสเปคก็ไม่เป็นรองใคร เจ้า Xiaomi Mi11 นั้นมีดีไซน์สวยงามตามยุคสมัย พร้อมกับสเปคแรง และเน้นการใช้งานกล้อง โดยเฉพาะฟีเจอร์การถ่ายวีดีโอซึ่งเรียกว่าจัดจ้านมาก แต่เสียดายที่ผมไม่ได้ถนัดแนวนี้ เอาเป็นว่าขอจับมาเล่นให้ฟังกันสักนหน่อยละกัน

กล่องและอุปกรณ์ ก็เบสิคล่ะครับ มีคู่มือและเข็มจิ้มถาดซิมอีกอันนะ ยังแถมที่ชาร์จมาให้นะ

สเปคดูภาพรวมที่ Mi.com คลิ้กได้เลยจ้า

เบื้องหลายสำนักก็รีวิวกันไปเยอะละ ส่วนตัวผมก็ใช้ Mi มาพอสมควร ก็เรียกว่าชินกับพวก UI อย่าง MIUI มากมาย อีกทั้งฟีเจอร์ปัจจุบันก็จัดเต็ม ซึ่งผมว่าคงไม่ต้องลงรายละเอียดเรื่อง UI กันล่ะครับ มาดูดีไซน์และกล้องกันเลยก็ละกัน

ด้านดีไซน์ ส่วนตัวผมว่าดีไซน์นี่มาตามเทรนด์ เครื่องที่ได้มารีวิวนี่ สีสะท้อนแสงสวยงามเป็นสีฟ้า หรือที่เค้าเรียกว่า Horizon Blue ซึ่งอารมณ์สีนี่ไม่ใช่แค่ตัวเครือ่งแต่เลนส์กล้องก็ด้วย เรียกว่าลงตัวเลยทีเดียว  สำหรับ Mi 11 มาพร้อมกับ สเปค Snapdragon 888 RAM 8GB ROM 128GB ซึ่งเริ่มต้นราคา สองหมื่นกลางเอง แน่นอนว่ารองรับ 5G ได้

 

หน้าจองานนี้คืออาจจะไม่ถูกใจคนที่ชอบจอโค้งล่ะนะ เพราะ flagship ก็ต้องใช้จอที่ไม่ธรรมดา ซึ่งจอโค้งก็ตอบโจทย์เรื่องการดีไซน์ จับถือ พกพา และหน้าจอยังแสดงสีและความละเอียดได้อย่างถูกต้องอีกด้วย รีเฟรชเรท 120Hz มีโหมดการแสดงผลในแสงแดดได้ดี และยังมีเทคโนโลยีปกป้องดวงตาอีกด้วย และที่ไม่พลาดก็คือสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอได้

ด้านข้างตัวขอบนี่แอบมีดีไซน์ให้เว้าตามปุ่มกดปิดเปิด และเร่งลดเสียง ปกติเราจะเห็นเหมือนกับเป็นระนาบเดียวกัน แต่นี่มีเว้ากินขอบฝาหลังมานิดนึง คือมันบางนั่นล่ะครับ ทำให้เราจับแล้วรู้สึกกดได้สะดวกขึ้นนั่นล่ะ ถ้าขอบเล็กและปุ่มเล็กด้วยแล้วจะทำให้การใช้งานลำบาก อันนี้ก็เรียกว่าดีไซน์มาเพื่อผู้ใช้งาน ส่วนอีกด้านก็จะเรียบไปเลย

ส่วนด้านบนและด้านล่าง  ยังคงเป็น flagship ค่ายเดียวซะล่ะมั้งที่ยังมีอินฟราเรดติดมาด้วย ควบคุมรีโมทอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าได้อันนี้ก็ถือว่าเป็นจุดเด่นที่ยังใช้งานได้อยู่ในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีนี้จะอยู่กับเรามานานมาก จนค่ายอื่นถอดออกไปนานแล้ว แต่ประโยชน์และการใช้งานยังได้อยู่เลยนะ ส่วนช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. นี่ก็ทำใจไปหาหางหนูมาต่อใช้งานเพิ่มเติมเอา  และแน่นอนว่าถาดซิมรองรับการใช้งาน 2ซิม 5G แต่ทว่าไม่รองรับการเพิ่มเมมโมรี่จ้า

เรื่องแบตเตอรี่อันนี้คือก็อึดนะ จัดมา 4600 mAh ซึ่งผมว่าน่าจะอัดมาสัก 5000  mAh ถ้าเป็นไปได้ เห็น flagship ทีไรอยากได้แบตเยอะๆ แต่ก็ไม่รู้ทำไมไปไม่สุดสักที เห็นรุ่นกลางรุ่นล่างนี่แบตอึดสุดๆ เห็นแล้วก็อิจฉา และแน่นอนว่าชาร์เร็ว 55W ชาร์จไร้สาย 50W สามารถทำรีเวิร์สชาร์จได้รองรับ 10W แน่นอนว่าแบตก็มากับการใช้งานที่อึด แและความร้อน เพราะชิปตัวแรงนี่ล่ะ ถ้าเล่นเกมนี่รู้เลยว่าร้อนได้ใจ กับเวลาใช้งานกล้องถ่ายภาพหรือวีดีโอนานๆ หรือใช้การถ่ายวีดีโอความละเอียดสูง อันนี้ชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของ flagship นะ แต่ถ้าใช้งานทั่วไป นี่สบาย

 

เรื่องกล้องที่เน้นกล้องมุมกว้าง 108MP และมีมุมกว้างพิเศษแยกมาต่างหากอีก 13MP ไม่พลาดด้วย เทเลมาโคร 5MP ซึ่งรวมๆ ก็มีกล้องหลัง 3 ตัว อันนี้ผมก็ว่าน่าจะขาดไปนิดนึง ถ้าใส่มา 4 ตัวน่าจะครบกว่า นั้่นล่ะครับ แต่เรื่องกล้อง เค้าพกฟีเจอร์มาอย่างเยอะ แต่ก็เน้นการถ่ายวีดีโอจากกล้องด้านหลัง มี AI ในตัว ถ่ายวีดีโอแบบกลางคืนได้ภาพที่แจ่มมาก มีฟิลเตอร์วีดีโอแบบภาพยนตร์ ถ่ายแล้วก็มีโปรเซสในตัว ขึ้นงานได้ทันที แต่ก็มีฟิกซ์ไว้ไม่มาก แต่ก็พอที่จะนำมาตัดต่อขึ้นงาน ได้วีดีโอเจ๋งๆ ได้เหมือนกัน ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ถนัดทางนี้ซะด้วย แต่เห็นเค้าทำกันแล้ว แบบว่ามันได้นะ อย่างที่บอกล่ะครับว่า อันนี้ถ่ายได้ดีจริงๆ รองรับวีดีโอถึง 8K เลยทีเดียว แต่อย่าใช้งานนานมากแค่นั้นแหล่ะ  ส่วนกล้องหน้าก็เซลฟี่ได้ใสสไตล์ Mi ที่  20 MP มีโหมดหน้าสวยตามสไตล์

ตัวอย่างฟีเจอร์กล้อง Xiaomi Mi 11

โหมดต่างๆ มีให้จัดเต็ม จริงๆ ก็เป็นรุ่นใหญ่ ใส่เต็มอยู่แล้ว ที่เน้นๆ ก็คงเป็นวีดีโอล่ะครับ สำหรับ Xiaomi Mi 11 ส่วนตัวอื่นก็ใส่มาตั้งแต่รุ่นก่อนอยู่แล้ว

ตรงการถ่ายวีดีโออาจจะมีข้อจำกัด ถ้าเราเปิดฟีเจอร์อาทิเช่น ซูเปอร์มาโคร ก็จะจำกัดความละเอียดอยู่เหมือนกัน จะไม่สามารถถ่ายแบบ 4K หรือ 8K ได้ ซึ่งเอาจริงๆ ผมเชื่อว่าเขาทำได้ แต่ถ้าเปิดฟีเจอร์มาแล้วมันจะต้องกินพลังงานและการทำงานของตัวเครื่องมากนั่นล่ะครับ เลยเอาที่ทำได้และดี เหมาะกับการใช้งานทั้งผู้้ใช้งานและตัวเครื่องเองด้วย

การซูมต่างๆ ก็ทำได้ค่อนข้างดี แต่ฟีเจอร์อย่างซุเปอร์มูนนี่ ก็ถือว่าโอเคนะ แต่ถ้าเทียบกับค่ายอื่นผมว่าก็คงจะยังไม่ใช่ดีที่สุดนะ แต่เราคงไม่ได้มานั่งถ่ายพระจันทร์กันทุกวันใช่ไหมล่ะ ฮ่ะๆ ความละเอียดกล้อง 108 ล้านพิกเซล ก็เปิดใช้งานได้ไม่ยาก ช่วยในการถ่ายภาพให้มีความละเอียดคมชัด และดูรายละเอียดภายในภาพได้แบบว่าเยอะเลยทีเดียว เอาจริงๆ ฟีเจอร์กล้องนี่เยอะจริง ใช้ไม่หมด ฮ่ะๆ

ตัวอย่างภาพถ่าย Xiaomi Mi 11

ด้านซอฟท์แวร์ MIUI 12

ก็คงเหมือนเดิมมาพร้อมกับ MIUI ที่คุ้นเคยล่ะครับ ตอนนี้ก็เวอร์ชั่น 12.x แล้ว ก็มินิมอล ใช้งานง่าย สะอาดตาขึ้น ซึ่งผมก็คงไม่เน้นล่ะนะ ช่วงหลังรีวิวนี่ก็ไม่ได้ลงลึกละเอียดมากละ และเชื่อว่าทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันดีด้วยล่ะครับ ฟีเจอร์ส่วนใหญ่ เรามักจะเจอในหลากหลายค่ายอยู่แล้ว ซึ่งบน flagship อย่าง Mi 11 นี่จัดเต็มทุกฟีเจอร์ แต่เราก็มักจะใช้งานกันไม่หมดล่ะนะ

ลองเทสซะหน่อย ใช้ AI Test มี Pi เทสความเร็วในการคำนวณ และ Geekbech ตัวหลัก ก็เอาไว้อ้างอิงนิดนึง

พูดถึง Game Turbo ก็ซัพพอร์ทการเล่นเกมได้ครบนะ เรื่องการเล่นสเปคขนาดนี้ความสมูทและความเร็วคือกินขาด เปิดจัดเต็มได้ แต่ความร้อนและแบตก็จะแปรผันตามที่เราใช้งานนั่นล่ะ แต่ระหว่างการเล่นเกมก็มีโหมดต่างๆ ที่รองรับทำให้เล่นเกมไม่สะดุด ไม่มีใครมากวนใจล่ะครับ โหมดนี้ก็ติดตัวกันมานานแล้ว ก็ยังให้ความสะดวกกับผู้เล่นเกมได้เป็นอย่างดี

สรุปการใช้งาน Xiaomi Mi 11

เท่าที่ใช้งานคือ ทุกครั้งที่หลายคนเจอปัญหา ผมมักจะไม่เจอ ไม่รู้โชคดีหรือยังไง รุ่นนี้ที่เจอก็คงเป็นเรื่องความร้อน ซึ่งอันนี้คือธรรมดาของ flagship ซึ่งถ้าไม่ได้ถ่ายวีดีโอความละเอียดสูงหรือเล่นเกมหนักจริงๆ ก็ไม่ได้มีปัญหาใดๆ ใช้งานทั่วไปนี่คือสบายเลยนะ เรื่องดีไซน์ สเปค ผมว่า ตัวรุ่นคุ้มค่าสมราคา flagship แบบนี้ทำได้ดี ตอบโจทย์ ความไวเอย กล้องเอย ครบสุด เครื่องสเปคแรงส่วนใหญ่ไร้ปัญหาด้านการใช้งานทั่วไปอยู่ละ ที่เหลือก็ฟีเจอร์เด็ดๆ ที่ส่วนใหญ่จะไปอยู่บนกล้องซะส่วนมากนั่นล่ะ สำหรับ Xiaomi Mi 11 ก็เน้นถ่ายวีดีโอ ที่ลองเล่นแล้วก็ไม่ธรรมาดานะ โหมดมีให้เลือกเพียบ และตอนจองมีของแถมเพียบเลย แต่ถึงจองของแถมไม่ทัน ซื้อมาใช้งานทีหลังก็ยังคุ้มกับสเปค flagship ในราคาเริ่มต้นประมาณสองหมื่นกว่าบาท ก็อาจจะเทียบได้ว่า Xiaomi Mi 11 เป็นรุ่นที่มีสเปคและราคาคุ้มค่าสุดในตลาดก็ไม่ผิดนักล่ะครับ ในบรรดา flagship ที่ออกมาตอนนี้นะ

ขอบคุณ Xiaomi Thailand ที่สนับสนุนเครื่องทดสอบจ้า



ถูกใจบทความนี้  3