Apple iPhone 13 Pro และPro Max เปิดตัวพร้อมจอ 120Hz ยกกล้องใหม่ทั้งชุด

Apple ยังคงเปิดตัวไอโฟนด้วยกันทั้งหมดสี่รุ่นแบ่งเป็นรุ่นโปรและไม่โปร โดยข่าวนี้เป็นรายละเอียดรุ่น Pro ที่มาพร้อมหน้าจอ ProMotion Display ครั้งแรกบนไอโฟน

ProMotion เป็นหน้าจอ Refresh Rate สูงที่ถูกใช้งานใน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max โดยมีค่า Refresh Rate ปรับได้ตั้งแต่ 10-120Hz และ iOS ก็ได้ปรับแต่งมาเพื่อให้ใช้งานตามลักษณะอย่างเหมาะสมด้วย โดยขนาดหน้าจอตัวเครื่องยังคงไว้ที่ 6.1 นิ้ว สำหรับรุ่นโปรและ 6.7 นิ้วสำหรับโปรแม็กซ์ และหน้าจอมีความสว่างสูงชึ้น 25%

สำหรับกล้องหลังแม้ความละเอียดคงไว้ที่ 12MP แต่มีการปรับปรุงเลนส์, เซ็นเซอร์, และการประมวลผลภาพใหม่หมด โดยกล้องหลักได้ขยับขนาดพิกเซลไปที่ 1.9µm และมีค่ารูรับแสง f/1.5 (เดิม 12 Pro Max มีขนาดพิกเซล 1.7µm f/1.6 นั่นหมายความว่าจะสามารถเก็บแสงได้ดีมากขึ้นโดยเฉพาะเวลาถ่ายที่แสงน้อย ส่วนกล้อง Telephoto ได้ขยับระยะเป็น 77มม. f/2.8 (3x) ขยับจากรุ่นก่อนที่มีเลนส์ 65มม. หรือ 2.5x f/2.4

กล้องตัวสุดท้าย Ultrawide ได้เปลี่ยนมาใช้ชิ้นเลนส์ 6 ชิ้น f/1.8 รองรับ Autofocus ดีขึ้นจากปีก่อนที่มี f/2.4 โดยจะสามารถเก็บแสงได้มากกว่าเดิมราว 92% และตัวเลนส์ Ultrawide เนี่ยสามารถใช้งานเป็นกล้อง Macro ได้ด้วย (รุ่นเดิมไม่มี) และทุกกล้องในรุ่นโปรรองรับการใช้งาน Night Mode

ตัว hardware ยังรองรับ ProRes video ที่ทาง Apple เคลมไว้ว่าเป็น Codec สำหรับ Professional video สามารถบันทึกวิดีโอ 4K 30fps ที่สามารถนำไป edit ต่อได้ง่ายดาย และรองรับ Dolbiy Vision HDR ซึ่งรองรับได้ยัน 4K 60fps

นอกจากนี้รุ่นโปรยังสามารถถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอหรือแบบชัดตื้นได้ และยังสามารถปรับเปลี่ยนการจับโฟกัสส่วนชัดตื้นภายหลังการถ่ายวิดีโอได้อีกด้วย และยังมีฟีเจอร์ Photographic styles ที่ให้สามารถเลือกช็อตที่ดีที่สุดได้ (น่าจะเหมือน best shot มั้ยไม่แน่ใจนะ)

สำหรับหน่วยประมวลผลใหม่ Apple A15 Bionic ผลิตบนสถาปัตยกรรม 5 นาโนเมตร ไม่ได้ถูกพูดถึงมากนัก บอกแค่เพียงยังคงมี CPU 2+4 และเคลมว่าไวกว่าคู่แข่งถึง 50% และเคลมว่าจะยังคงเป็นผู้นำด้านหน่วยประมวลผลต่อไป ส่วน GPU มี 5 Cores (มากกว่ารุ่นปกติที่มี 4 Cores) และ Neutral Engine ได้เพิ่มเป็น 15.8TOPS จากเดิม 11 TOPS บน A14 (แต่ตรงนี้ Snapdragon 888+ โฆษณาไว้ 32 TOPS คงต้องให่้เทียบกันอีกที)

ระยะเวลาในการใช้งานได้ถูกปรับปรุงมาในรอบนี้ด้วย โดยต้องขอบคุณเทคโนโลยีหน้าจอใหม่ / ชิปเซ็ต และขนาดแบตเตอรี่ที่ถูกเพิ่มขึ้นรวมถึงการ Optimize ใน iOS โดยเคลมไว้ว่า Pro ใช้งานได้นานขึ้น 1.5 ชั่วโมง และ Pro Max นานขึ้น 2.5 ชั่วโมง

สำหรับระบบการชาร์จไฟแรงยังคงชาร์จแรงผ่านสาย 20W และผ่าน MagSafe แรง 15W ทั้งนี้ตัวเครื่องมีด้วยกัน 4 สี โดยสีที่มาใหม่ได้แก่ Sierra Blue มาในโทนสีฟ้าอ่อนสวยงามลงตัวตามเคย และด้านหลังเป็นกระจกแบบด้าน ส่วนกระจกตรงเลนส์นั้นครอบด้วย Sapphire

นอกจากนี้ Apple ยังได้ปรับปรุงการเชื่อมต่อ 5G ให้รองรับหลากหลายความถี่มากยิ่งขึ้นจากเดิม โดยจะสามารถใช้งานได้ทั่วโลกรวม 200 ประเทศ และมี Smart Data ฟีเจอร์ที่จะช่วยประหยัดแบตเตอรี่โดยการสลับไปใช้งานเครือข่าย 4G เมื่อไม่จำเป็นต้องใช้เน็ตความเร็วสูงขนาดนั้น

และสำหรับรุ่นนี้มีหน่วยความจุเริ่มต้น 128GB / 256GB / 512GB / 1TB โดยราคาในไทยเปิดตัวแพงขึ้นจากเดิมเล็กน้อย

Source



ถูกใจบทความนี้  2